วันจันทร์, กุมภาพันธ์ ๒๖, ๒๕๕๐

มุมมองด้านการลงทุนของพาไบร (2)

โดย อีมิล ลี
23 ก.พ.2550

บทสัมภาษณ์ผู้จัดการกองทุนหุ้นส่วนเพื่อการลงทุน ชื่อ โมห์นิช พาไบร ตอนนี้เป็นตอนที่ 2


อีมิล ลี: คุณมีวิธีการวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับหุ้นที่จะลงทุนอย่างไร ตามปกติแล้วคุณจะเฝ้าติดตามแต่เฉพาะอุตสาหกรรมต่างๆที่คุณคุ้นเคยเข้าใจหรือเปล่า คุณเสาะหาข้อมูลในเชิงลึกมากน้อยเพียงใดในแง่ของ การศึกษาบริษัท อุตสาหกรรมที่บริษัทนั้นอยู่ และคู่แข่งทั้งหลาย คุณจำเป็นต้องไปพบปะพูดคุยกับผู้คนในอุตสาหกรรมนั้นหรือเปล่า

โมห์นิช พาไบร: ผมไม่โทรไปถามหรือเข้าพบฝ่ายบริหารหรือผู้ล่วงรู้ข้อมูลภายในของบริษัทหรอก บางครั้งบางคราวผมต้องมอบความไว้วางใจให้กับนักลงทุนในกองทุนพาไบร ผมยินดีและพอใจที่จะได้พบกับกลุ่มผู้บริหาร(ซีอีโอ)หรือผู้ประกอบการขนาดใหญ่ที่ล้วนแต่เป็นนักลงทุน บุคคลเหล่านี้จะรู้และเข้าใจอุตสหากรรมของตนเองดีมาก ดังนั้น ถ้าผมเสาะหาข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ มีผู้คนที่ผมรู้จักเพียงไม่กี่คนที่ถือได้ว่าเชี่ยวชาญในเรื่องอสังหาริมทรัพย์ ผมจะลงมืออ่านศึกษาข้อมูลธุรกิจ แล้วทดลองประเมินอย่างตรงไปตรงมาว่าบริษัทนี้อยู่ในขอบข่ายที่ผมเชี่ยวชาญหรือไม่ จากนั้นก็ส่งข้อเสนอที่เป็นสมมุติฐานของผมต่อให้นักลงทุนทั้งหลายที่มีความรู้โดดเด่นและรอรับฟังข้อคิดเห็นจากเขาเหล่านั้น


ลี: คุณไม่ได้ใช้โมเด็ลต่างๆในโปรแกรมเอกซ์เซลใช่ไหม แล้วคุณเก็บข้อมูลในส่วนต่างๆที่ผันแปรอยู่ตลอดเวลาอย่างไร (เช่น ต้นทุนต่อหน่วย คิดส่วนลดกระแสเงินสด) ไม่ทราบว่าการคิดหาความคุมค่าทางเศรษฐกิจในแนวคิดการลงทุนของคุณมันบีบรัดอย่างกระชั้นชิดหรือง่ายจนถึงกับว่าคุณสามารถคิดคำนวณบนกระดาษซองจดหมายหรือเปล่า

พาไบร: โดยปกติจะมีตัวแปรแค่ 2 หรือ 3 ตัวเท่านั้นที่จะเป็นปัจจัยควบคุมให้ได้ผลลัพธ์ส่วนใหญ่ออกมา ส่วนที่เหลือเป็นแค่สิ่งจูงใจให้ผู้คนสนใจ ถ้าหากคุณมีตัวช่วยที่เป็นประโยชน์ทำให้พอประมาณการเลาๆได้ว่าตัวแปรหลักๆเหล่านี้น่าจะทำให้เกิดผลลัพธ์สุดท้ายอย่างไร ก็เท่ากับว่าคุณมีหลักการที่จะทำอะไรบางอย่างได้แล้ว สิ่งต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการประมาณการและความน่าจะเป็นไปได้ใช้ได้ไม่ดีนักกับการสร้างโมเด็ลบนโปรแกรมเอ็กเซล สำหรับผมแล้วพบว่าถ้าผมต้องขยับไปอาศัยโปรแกรมเอ๊กเซลเมื่อใด นั่นเท่ากับเป็นสัญญานที่ชัดเจนว่าให้ผ่านหุ้นนั้นไป ข้อเสนอที่เป็นสมมุติฐานควรที่จะอยู่ในรูปแบบง่ายๆที่สามารถตรึกตรองได้ในหัวสมองคุณเอง


ลี: มีหนังสืออยู่มากมายนับไม่ถ้วนที่เขียนเกี่ยวกับการลงทุนแบบเน้นมูลค่า แต่มีเพียงไม่กี่เล่มที่พูดถึงการลงทุนกับเหตุการณ์พิเศษเฉพาะ หรือแบบที่มีสถานะการณ์เป็นตัวผลักดันให้ลงทุน คุณพอจะแนะนำหนังสือหรือนิตยสารอย่างว่านี้ได้บ้างไหม คุณยังพูดถึง ทิโมธี ริค ในหนังสือของอัลทูเชอร์-- ดิฉันหาเอกสารหรือหนังสือที่เขียนถึงตัวเขาไม่เจอเลย (ชื่อเขาควรจะเรียกว่า ทิโมธี วิค หรือเปล่า) คุณพอจะชี้ทางให้ดิฉันสืบค้นหาข้อมูลได้ไหม

พาไบร: ใช่ เขาชื่อ ทิม วิค บัฟเเฟตต์ได้เคยพูดและเขียนเรื่องต่างๆมากมายเกี่ยวกับเหตุการณ์พิเศษเฉพาะ ทุกคนควรหาอ่านข้อมูลจากจดหมายถึงผู้ถือหุ้นของกองทุนหุ้นส่วนบัฟเฟตต์และจดหมายถึงผู้ถือหุ้น รวมไปถึงบทบันทึกรายงานประจำปีที่ตีพิมพ์ลงในโอไดดี(เอาท์สแตนดิ่ง อินเวสเตอร์ไดเจสต์) ทิมพูดไว้ในหนังสือของเขาเช่นกัน ฟินโนว่า(Finova)ก็เป็นเรื่องของเหตุการณ์พิเศษเฉพาะของบัฟเฟตต์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้ การผจญภัยต่างๆไปกับพันธบัตร เลเวล 3 (Level 3) หุ้นในเกาหลี อเมริกันเอกซเพรส ก็เป็นเรื่องเหตุการณ์พิเศษเฉพาะที่เกิดขึ้นช่วงทศวรรษ 1960 ฯลฯ เป็นต้น



ลี: คุณคาดหวังที่จะได้รับความสำเร็จอะไรในหนังสือเล่มใหม่ของคุณ มีสาระหรือประเด็นใดที่คุณอยากให้ผู้อ่านให้ความสนใจเป็นพิเศษ

พาไบร: วิธีการเรียนรู้ที่ดีที่สุดก็คือการสอนให้ความรู้แก่ผู้อื่น การเขียนหนังสือช่วยผมอย่างมหาศาลในการจัดแจงหลักการและแนวคิดที่อยู่ในหัวสมองผมให้เป็นระบบแบบแผนที่ดี ผมสนุกกับการเขียนถึงเรื่องพวกนี้ ผมเขียนไว้สำหรับนักลงทุนที่ชาญฉลาดรายบุคคล และผมเขียนไว้สำหรับรุ่นลูกของลูกของลูกที่ผมจะไม่มีโอกาสได้พบเจอ ถ้าหนังสือนี้ช่วยพัฒนาผลงานการลงทุนให้แก่คนแค่เพียงไม่กี่คน ผมก็ถือว่าหนังสือประสบความสำเร็จแล้ว


ลี: คุณยังพอจะมีข้อแนะนำอะไรเพิ่มเติมอีกไหมที่พอจะช่วยคนอย่างดิฉันซึ่งกำลังพยายามหาทางเรียนรู้เรื่องของการลงทุนให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

พาไบร: ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ขอให้คุณทำตามสิ่งที่คุณคลั่งไคล้หลงไหล ถ้าคุณเฝ้าทำแต่สิ่งที่คุณรักแล้วมั่นใจได้เลยว่าคุณจะทำสิ่งนั้นได้ดีหากว่าการลงทุนเป็นสิ่งที่คุณหลงไหลคลั่งไคล้แล้วละก้อจงศึกษาจากคนที่เก่งที่สุดอย่างเต็มที่และจริงจัง นักลงทุนที่เก่งที่สุดคือ วอร์เร็น บัฟเฟตต์และเขาเป็นบุคคลที่พร้อมจะให้คุณตรวจสอบและเรียนรู้ให้เข้าใจเขาอยู่ตลอดเวลา ผมขอแนะนำให้ใครก็ได้ต้องทุ่มสละพละกำลังทั้งหมดของตนในอันที่จะทำความเข้าใจเรียนรู้วิธีการทำงานของบัฟเฟตต์ ให้ทำจนกระทั่งว่าวิธีดังกล่าวสถิตอยู่ในอารมณ์ของคุณ แล้วให้รับเอาวิธีดังกล่าวไว้กับตัวคุณ

ขอบคุณสำหรับการสัมภาษณ์


พูดได้ดีจริงๆ...............

หวังว่าพวกเราทุกคนได้รับความพึงพอใจและขอให้คุณประสบผลสำเร็จตามที่หวังไว้ในเส้นทางการลงทุนของคุณ ดิฉันคิดตั้งข้อสังเกตว่าขอให้ความสนใจเกี่ยวกับแนวคิดการลงทุนของพาไบรซึ่งไม่น่าเชื่อเลยว่ามีเพียงแค่ 2 ข้อที่เป็นตัวหลักสำหรับการขับเคลื่อน ถ้าคุณเข้าใจธุรกิจอย่างถ่องแท้และมีกันชนเผื่อสำหรับความปลอดภัยที่มากเพียงพอแล้วก็ไม่จำเป็นต้องใช้โมเด็ลที่สลับซับซ้อนแต่อย่างใด บัฟเฟตต์และหุ้นส่วนของเขา คือ ชาร์ลี มังเกอร์ได้เน้นย้ำเสมอๆว่าโมเด็ลของการทำส่วนลดกระแสเงินสดไม่จำเป็นแต่อย่างใดถ้าหากแนวคิดการลงทุนผุดขึ้นมาตะโกนใส่คุณการยึดหลักการอย่างง่ายช่วยนักลงทุนทั้งหลายเช่นอย่างดิฉันได้มากเพราะดิฉันมักจะยึดติดกับรายละเอียดเสมอๆจนทำให้เกิดความสับสนกังวลใจเพราะทำยังไงก็ไม่สามารถจับประเด็นได้สักที ฉะนั้นจงจำ 2 เรื่องนี้ไว้ให้ดี ประการแรก ถ้าเป็นแนวคิดที่ดูแล้วไม่ดีแน่ๆ น่าจะถึงเวลาที่ต้องเดินข้ามผ่านไป และประการต่อมาหากแนวคิดการลงทุนอยู่นอกขอบเขตความเชี่ยวชาญของเรา เราจำเป็นต้องทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ได้แก่ ถอยกลับมาตั้งหลักอยู่ในขอบเขตความเชี่ยวชาญของเราเสีย หรือ เรียนรู้ให้ได้ว่าต้องทำอะไรบ้างในการที่จะขยายขอบเขตความเชี่ยวชาญของเรา อย่างไรก็ตาม นักเล่นเชสส์ผู้ยิ่งใหญ่หลายคนมองเป็นลักษณะกระจุกตัวเป็นกลุ่มก้อน พวกคนเหล่านี้เพียงแค่วางแผนลงมือปฏิบัติการอย่างรอบคอบโดยไม่ลดละแล้วจัดแจงให้เป็นสองขั้นตอนหลักง่ายๆอย่างไม่น่าเชื่อและรายละเอียดส่วนที่เหลือเป็นเพียงแค่ส่วนประกอบที่ไม่นำมาร่วมพิจารณาแต่อย่างใด นักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายผู้ทำงานอย่างขยันขันแข็งในอันที่จะขยายขอบเขตความเชี่ยวชาญของพวกเขาก็สามารถสรุปแนวคิดการลงทุนต่างๆที่ยุ่งยากสลับซับซ้อนให้ออกมาเป็นรูปแบบง่ายๆสามารถให้คำตอบสำหรับการตัดสินใจว่า ตกลง หรือ ไม่ตกลง แค่นั้นเอง


ท่านผู้อ่านทั้งหลายควรท่องคำแนะนำของพาไบรให้ขึ้นใจเกี่ยวกับเรื่องการเฝ้าตามติดสิ่งที่ท่านคลั่งไคล้หลงไหล หากต้องการอ่านเพิ่มเติมให้หาอ่านจากหนังสือของพาไบร ชื่อ เพอร์สเปกติป ออน อินเวสติง และเล่มล่าสุดที่กำลังจะออก คือ เดอะ ดาโด อินเวสเตอร์

ที่มาhttp://www.fool.com/investing/general/2007/02/23/pabrais-perspectives-on-investing-part-2.aspx

วันอาทิตย์, กุมภาพันธ์ ๒๕, ๒๕๕๐

มุมมองด้านการลงทุนของพาไบร (1)

โดย อีมิล ลี
22 ก.พ.2550


ระหว่างปี 1980 และ 1990 วอร์เร็น บัฟเฟตต์ทำเงินเป็นพันๆล้านเหรียญจากการลงทุนซื้อหุ้น โคคาโคล่า เวลส์ฟาร์โก้ และยิลเล๊ตต์ (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ บริษัท พร็อคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล) แต่ก่อนหน้านั้นเขาสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าด้วยการลงทุนในบริษัทต่างๆที่คุณไม่เคยรู้จัก อย่างเช่น แซนบอร์น แม็ฟ และที่บางคนรู้จัก เช่น อเมริกัน เอ็กซ์เพรส

ในช่วงแรกๆ การลงทุนของบัฟเฟตต์เน้นกลยุทธการแสวงหาเหตุการณ์พิเศษเฉพาะ - การกอบกู้บริษัทที่มีปัญหาด้านการเงิน,อาร์บิทราจ และซื้อขายกิจการที่เลิกล้มกิจการ (จากคำกล่าวของบัฟเฟตต์เอง หลายคนเชื่อว่าเขาทำกำไรได้มากกว่าปีละ 50%ให้กับพอร์ตส่วนตัวของเขาจากการลงทุนในเหตุการณ์พิเศษเฉพาะ)จากปี 1957 ถึง 1968 กองทุนหุ้นส่วนเพื่อการลงทุนของบัฟเฟตต์ทำกำไรขั้นต้นเฉลี่ยปีละ 31.6% และกำไรสุทธิเฉลี่ยปีละ 25.3% ตามลำดับ เทียบกับผลตอบแทนของดาวน์โจนส์ต่อปีในช่วงเดียวกันอยู่ที่ 9.1%

โมห์นิช พาไบร ถูกกล่าวขานไว้ในหนังสือที่ทุกคนต้องอ่านที่แต่งโดย เจมส์ อัลทูเชอร์ ชื่อ "ค้าหุ้นอย่างวอร์เร็น บัฟเฟตต์" ว่าเป็นผู้หลงไหลทำตามอย่างของบัฟเฟตต์ กองทุนหุ้นส่วนการลงทุนของเขาก็สร้างผลงานที่โดดเด่นไม่แพ้กัน หนังสือเล่มแรกของ พาไบร ชื่อ มุมมองด้านการลงทุน ได้ชื่อว่าเยี่ยมยอดในแง่ที่ว่าง่ายต่อการทำความเข้าใจและสามารถถ่ายทอดหลักการต่างๆของการลงทุนอย่างชาญฉลาดได้ดีเยี่ยม เช่นเดียว

กันพาไบร ได้แต่งหนังสือเล่มใหม่ ชื่อ เดอะ ดานโด อินเวสเตอร์ ซึ่งจะออกมาเร็วๆนี้ ผมเชื่อว่า สมาชิกของฟูลส์ (รวมทั้งตัวผมด้วย)จะได้รับประโยชน์จากการอ่านแนวคิดของพาไบร และต่อไปนี้เป็นตอนแรกของการสัมภาษณ์พาไบรผ่านทางอีเมล์ซึ่งมีทั้งหมด 2 ตอน


อีมิล ลี:
คุณได้จัดรูปแบบกองทุนหุ้นส่วนของคุณตามแบบอย่างของกองทุนหุ้นส่วนของบัฟเฟตต์ - ไม่ทราบคุณพอจะแจงรายละเอียดการดำเนินงานกองทุนหุ้นส่วนว่าทำอย่างไรได้ไหม มองในแง่ของผลการดำเนินงาน สินทรัพย์ภายใต้การบริหาร และอื่นๆ ไม่ทราบว่าได้ผลไปในแนวทางเดียวกันหรือเปล่า


โมห์นิช พาไบร:
กองทุนนี้ไปได้ดีกว่าที่ผมได้วาดหวังเอาไว้ ผมขอยกผลงานนี้ไว้ให้กับท่านบัฟเฟตต์ทั้งหมด เงินลงทุนเริ่มต้น(ตั้งแต่ 1 ก.ค. 1999)ที่ลงไว้กับกองทุนพาไบรจำนวน 100,000 เหรียญ ถึงตอนนี้ 31 ธ.ค. 2006 เพิ่มมูลค่าเป็น 659,700 เหรียญ ระยะเวลา 7 ปีครึ่ง คิดเป็นอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี เท่ากับ 28.6% - หลังหักค่าใช้จ่ายสำหรับผมและค่าธรรมเนียมต่างๆ สินทรัพย์ภายใต้การบริหารอยู่ที่กว่า 400 ล้านเหรียญ -- เพิ่มจากที่เริ่มต้น 1 ล้านเหรียญ พิจารณาในทุกๆด้านพบว่า กองทุนพาไบร ได้สร้างผลงานดีมากๆเกินกว่าจุดที่ผมได้คาดหวังไว้สูงสุดเสียอีก

ในกาลข้างหน้า ผมคาดไว้ว่าเราจะยังเอาชนะดัชนีต่างๆได้ต่อไป แต่น่าจะมีค่าเฉลี่ยต่อปีสูงกว่าบ้างเพียงเล็กน้อย


ลี:
คุณมีความเชื่ออย่างแจ่มชัดในเรื่องของการต้องมีความรอบรู้หลายๆด้านในสาขาวิชาการต่างๆสำหรับเพื่อใช้ในการวิเคราะห์ตัดสินใจแนวคิดการลงทุนต่างๆ คุณพอจะเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมว่าแต่ละวันคุณใช้เวลาอย่างไร คิดเป็นอัตราส่วนโดยทั่วไปแล้วคุณอุทิศเวลาให้กับการอ่านเอกสารที่ไม่เกี่ยวกับการลงทุน หรือ รายงานรายไตรมาส ฯลฯ เป็นต้น อย่างไร


พาไบร: ตารางเวลาทำงานของผมส่วนใหญ่จะว่างเปล่า ผมพยามเข้าร่วมการประชุมประจำสัปดาห์ไม่ให้เกินกว่า 1 ครั้งต่ออาทิตย์ นอกจากนั้น ผมจะใช้เวลาแต่ละวันในแบบที่ไม่จำเพาะเจาะจงมากนัก ถ้าผมอยู่ระหว่างการทำการบ้านเกี่ยวกับหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง ผมมักใช้เวลาไม่กี่วันเพียงเพื่อมุ่งเน้นอ่านเอกสารข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจดังกล่าว ถ้าไม่มีอะไรปกติแล้วผมจะอ่านหนังสือบ้าง และให้ช่วงเวลาหนึ่งไว้สำหรับติดต่อโต้ตอบจดหมาย - ส่วนใหญ่เป็นอีเมล์

เกือบทุกช่วงบ่ายผมใช้เวลาสำหรับการงีบหลับ ผมมีห้องนอนแยกไว้ต่างหากในที่ทำงานของเรา และตามปกติผมจะอยู่จนดึกดื่น ดังนั้นผมใช้เวลาสำหรับการอ่านบ้างในตอนกลางคืน


ลี: คุณบอกไว้ในหนังสือที่ชื่อ ค้าหุ้นอย่างวอร์เร็น บัฟเฟตต์ ว่าคุณปล่อยให้แนวคิดต่างๆสำหรับการลงทุนของคุณบังเกิดขึ้นมาจากการอ่านอย่างไม่หยุดไม่หย่อน และขณะเดียวกันก็เฝ้าติดตามดูชื่อหุ้นที่รู้จักคุ้นเคยในตลาดหุ้นนิวยอร์ค ไม่ทราบคุณพอจะอธิบายถึงขบวนการสร้างแนวคิดเกี่ยวการลงทุนได้ไหม -- ใช่หรือเปล่าที่ว่าได้มาจากแค่การอ่านอย่างไม่หยุดไม่หย่อน คุณทำอะไรอย่างอื่นอีกหรือเปล่าเพื่อค้นหาแนวคิดการลงทุนอย่างไม่ลดละ


พาไบร: ความช่ำชองอันดับหนึ่งที่จำเป็นสำหรับนักลงทุนผู้ประสบความสำเร็จ คือ ความอดทน คุณจำต้องปล่อยให้เกมวิ่งเข้ามาหาคุณ รูปแบบพฤติกรรมการทำงานที่ผมยึดปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอก็คือ ผมทำตัวเหมือนกับว่าผมเป็นสภาพบุรษคนหนึ่งที่อยู่กับงานอดิเรก และเหมือนกับว่าผมไม่ได้อยู่ในธุรกิจการลงทุน หากมีอะไรบางอย่างแสดงออกมาในลักษณะบีบคั้นอย่างยิ่งถึงขั้นตะโกนใส่หน้าผม โดยบอกว่า "ซื้อฉันซิ!" จากนั้นผมจะลงมือทำการบ้านหาข้อมูล นอกเหนือจากนั้นแล้วผมก็เพียงแต่อ่านๆให้สักได้ชื่อว่าอ่าน ฉะนั้นผมจะสอดส่องหาข้อมูลจากแหล่งต่างๆเพียงไม่กี่แห่งและโดยปกติก็จะสามารถค้นพบตัวที่ตะโกนใส่หน้าผมในแต่ละปีเพียงไม่กี่ตัว แหล่งข้อมูลเหล่านี้ (ไม่ได้จัดเรียงเป็นลำดับแต่อย่างใด) ได้แก่:


1. ราคาหุ้นต่ำในช่วง 52 สัปดาห์(52- Week Lows) ในตลาดหุ้นนิวยอร์ค (พิมพ์ทุกวันในหนังสือพิมพ์วอลสตรีต และหนังสือรายสัปดาห์ชื่อ แบรอน)
2. แวลูไลน์ (Value Line) (ตามดู รายชื่อหุ้นราคาถูก ต่างๆ)
3. เอาท์สแตนดิ่ง อินเวสเตอร์ ไดเจสต์
4. แวลู อินเวสเตอร์ อินไซท์
5. พอร์ต โฟลิโอ รีพอร์ต (จาก กลุ่มคนที่เขียนคอลัมน์ใน เอาท์สแตนดิ่ง อินเวสเตอร์ ไดเจสต์)
6. หนังสือพิมพ์วอลสตรีต เจอร์นัล
7. หนังสือพิมพ์ ไฟแนนเชี่ยน ไทม์
8. แบรอน'ส
9. ฟอรบส์
10. ฟอร์จูน
11. บิซิเนสวีค
12. เดอะซันเดย์ นิวยอร์ค ไทม์
13. เดอะ แวลู อินเวสเตอร์ คลับ
14. กูรู โฟกัส


จากบรรดารายชื่อที่ว่ามาข้างต้น ในอดีตที่ผ่านมาได้ทำให้ผมค้นพบแนวคิดการลงทุนที่ดีๆอย่างน้อยปีละ 3 หรือ 4 ตัวทุกๆปี บางครั้งผมก็ทำผิดพลาด และแนวคิดที่เห็นว่าดีกลับกลายเป็นว่าไม่ค่อยดีสักเท่าใด


ลี: หลักใหญ่ของการลงทุนอยู่ที่ต้องรู้ว่าอันไหนต้องให้ความสนใจและอันไหนไม่ต้องใส่ใจ (พุ่งความสนใจ)คุณมีวิธีแจกแจงแยกแยะแนวคิดการลงทุนจากรายการหลายๆพันรายการได้อย่างไร บ่อยครั้งที่รายการราคาถูกเป็นรายการราคาถูกเนื่องจากผู้คนยังนึกไม่ถึง -- คุณทำอย่างไรถึงจะบอกได้ว่าเข็มที่ปนอยู่ในกองฟางอยู่ตรงไหน และคุณมีวิธีเลี่ยงกับดักของมูลค่าอย่างไร


พาไบร: ผมเฝ้ารอจนกว่าจะได้ยินเสียงตะโกนใส่หน้าผม "ซื้อฉันซิ!" เสียงตะโกนนั้นจำเป็นต้องดังมากจริงๆ เนื่องจากหูของผมค่อนข้างจะตึงเสียด้วยซิ


ลี: จะเป็นการยุติธรรมไหมหากจะพูดว่าคุณเป็นคนที่ให้ความใส่ใจกับงบดุลมากกว่าเมื่อเทียบกับงบกำไรขาดทุนและงบกระแสเงินสด หากเป็นเช่นนั้นคุณจะขจัดความกังวลเกี่ยวกับมูลค่าสินทรัพย์อย่างไร (เป็นต้นว่า ฟร้อนท์ไลน์ การจัดการการฌาปนกิจ)


พาไบร: จอห์น เบอร์ วิลเลี่ยมส์ เป็นคนแรกที่ให้คำจำกัดความของคำว่า มูลค่าแฝงเร้น(intrinsic value) ไว้ในหนังสือของเขาที่ชื่อ เดอะ เธียรี่ ออฟ อินเวสเมนท์ แวลู ตีพิมพ์เมื่อปี 1938 ตามที่วิลเลี่ยมส์ อธิบาย คำว่า มูลค่าแฝงเร้น ของธุรกิจใดๆประเมินหาได้จากกระแสเงินหมุนเวียนเข้าและหมุนเวียนออก -- หักส่วนลดด้วยอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม -- ที่คาดการณ์ได้ว่าจะเกิดขึ้นในช่วงชีวิตที่เหลือของธุรกิจนั้นๆ คำจำกัดความดังกล่าวดูแล้วง่ายชนิดที่ต้องคิดตรึกตรองอย่างหนักหน่วง

ดังนั้น เงินสดที่จะได้มามีสองทาง ทางหนึ่งจากการขายทอดตลาดเมื่อกิจการล้มเลิก หรือ เป็นเงินสดที่ได้จากการประกอบธุรกรรมของธุรกิจนั้นปีแล้วปีเล่า จึงเท่ากับว่าคำถามทั้งหมดที่ต้องตอบให้ได้ก็คือ ความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ในอนาคตว่าจะออกมารูปใด ถ้าหากกระแสเงินสดในอนาคตสามารถพยากรณ์ออกมาได้ง่ายและมีความน่าจะเป็นไปได้สูงก็ให้ละความสนใจต่อเรื่องการขายทอดตลาดเพื่อเปลี่ยนเป็นเงินสดเสีย ในทางกลับกัน บางครั้งก็มีความเป็นไปได้สูงที่ต้องหามูลค่าจากมูลค่าของการขายทอดตลาดเพื่อเปลี่ยนเป็นเงินสด ทั้งสองวิธีใช้ได้ผล ขึ้นกับว่าสถานะการณ์เป็นเช่นใด แต่ขั้นแรกคุณต้องได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกเสียก่อน......


ผู้เจริญรอยตามที่สูงส่งด้วยคุณค่า

คำตอบของพาไบร ได้เปิดโลกทัศน์สู่แนวคิดและนิสัยต่างๆของนักลงทุนเน้นมูลค่าผู้เยี่ยมยุทธ โดยความเป็นจริงแล้ว เขาเป็นคนหนึ่งในเพียงไม่กี่คนที่ยังมีชีวิตอยู่ผู้ยอมรับว่าวิธีการของบัฟเฟตต์ควรค่าแก่การเจริญรอยตามอย่างยิ่ง (พาไบร ถูกเสนอชื่อให้เป็น คนที่ทำตามแบบอย่างของบัฟเฟตต์ (Buffetteer) โดยนิตยสารฟอรบส์) เช่นเดียวกับบัฟเฟตต์ พาไบรเชื่อมั่นว่า อย่าสับสนว่าการไม่อยู่สุข(การซื้อๆขายๆ)เป็นเรื่องเดียวกับผลงานที่ได้รับ แต่มักเป็นตัวเตะถ่วงผลงานเสียมากกว่าแทน

ที่มา http://www.fool.com/investing/value/2007/02/22/pabrais-perspectives-on-investing.aspx

วันอาทิตย์, กุมภาพันธ์ ๑๑, ๒๕๕๐

มูลค่าที่ยั่งยืน:คำสอนจากวอร์เร็น บัฟเฟตต์

ต่อไปนี้เป็นบันทึกการบรรยายของวอร์เร็น บัฟเฟตต์ โดย Sham Gad และเพื่อนร่วมชั้นเรียน mba แห่ง the Terry College of Business at the University of Georgia ที่เข้าเยี่ยมท่านเมื่อปลายเดือน มกราคม 2550 ที่ผ่านมา

ต่อไปนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ Sham Gad เขียนขอบคุณที่ผู้คนจากทั่วโลกชื่นชมงานเขียนชิ้นนี้ของเขา รวมทั้งผมก็ได้เขียน email เพื่อขออนุญาตแปลเป็นไทยให้นักลงทุนไทยที่สนใจอ่านแนวคิดของ ท่าน วอร์เร็น บัฟเฟตต์

Feb 9,2007

Dear Sham Gad,

First of all, I would like to thank you for sharing such an excellent writing describing your recent class visit with the greatest value investor of our time,Warren Buffett, particularly all good questions that help extracting the value invetsting's philosophy embedded in this great mind.

Your style of writing in"Permanent value:The teaching of Warren Buffett" give us a feeling of like-being around with your class during that precious period of 7 hours. From my pursuing and studying this philosophy of value investing the same way as you have been doing, every value investing minds almost always synergize each other by sharing each individual idea and knowledge.

Hopefully, I wish you are kind enough to allow me to translate your writing in your blog into Thai version for sharing it/them with Thai value investors.

Thank you in advance.

Best regards,

Pongpao Hosathitam
Chiang Mai, Thailand


....................
และนี้เป็นจดหมายตอบรับจาก Sham Gad ซึ่งเขายินดีตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับบันทึกนี้หรือท่านใดมีข้อคิดเห็นที่จะพูดคุยกับเขาสามารถติดต่อกับเขาโดยตรงตาม email shamgad@gmail.com

Feb 11,2007

Pongpao-

You are very kind with your remarks. I am glad that you enjoyed reading notes from my meeting with him and yes you are welcome to translate my notes to share with your friends. I am assuming this is purely an educational and informative purpose without any commercial motive, as this goes against the spirit of Mr. Buffett visits with students.

If you can, please give me the link of the site you put it on. If anyone else wishes to contact me for questions or thoughts, they can do so at shamgad@gmail.com

Sham Gad

................................................................................

A Show of Thanks
Since my posting of my highlights of my visit with Warren Buffett, I have had the good fortune to receive some very inspiring and kind e-mails. I am grateful to all of my new "Buffett friends" for taking the time to express their appreciation and enthusiasm for my highlights. Some of you have been very supportive of my upcoming investment partnership, others have thanked me for taking the time and effort to post these notes, and others still from as far as India and Russia have appreciated the wonderful insights Mr. Buffett gives. Today, a fellow from Thailand asked if he could translate my notes in Thai for his community! What an honor!

During the first evening of the two visit with Mr. Buffett, I asked him this question:Over the years, what has Berkshire Hathaway come to mean to you?


Buffett: Berkshire is my way of teaching those things that mean the most to me and what I want to get out to others.

If you think about it, the only time Buffett speaks for a lengthy period of time is at the Berkshire annual meetings and most recently, to students who pay him a visit. Everything else you hear from Buffett comes second hand via books by authors attempting to get inside his head. As a matter of fact, in the most recent issue of BusinessWeek, Buffett remarks that he pays no attention to the books written about him. He knows it would go against his nature to battle against the swarms of authors that attempt to give us the ways of "bufettology."

But Buffett goes on to say "My annual report is my book...the most recent one is already 13,700 words."Just as Buffett feels Berkshire is his canvas for teaching, I see it as both a privilege and responsiblity to share with you all the highlights of my visit with him. I would never suggest nor want to convey that my transcript is a complete word by word account of my visit (this would not be in the spirit of my time with Buffett) but just an account of some of the most profound business principles around.I am delighted to have you all as a source of wonderful conversation and friendship even if we never meet in person (although each May, we have a great reason to converge in a little place called Omaha).I am beginning to flesh out the fundamentals and basic structure of Gad Investment Partnership--purely modeled after the 1956 Buffett Parntership. For now, I will give you one word that describes the mission of GIP: PARTNERSHIP

.................................................................................

มูลค่าที่ยั้งยืน:คำสอนจากวอร์เร็น บัฟเฟตต์ (Permanent Value: The Teachings of Warren Buffett)
วอร์เร็น บัฟเฟตต์กล่าวเปิดการบรรยาย

ทุกคนมีศักยภาพในอันที่จะทำให้ฝันของตนเป็นจริงได้ ที่สำคัญเราต้องดึงเอาความสามารถในตัวเราออกมาใช้ให้ได้ ผมเชิญชวนให้มาเล่นเกมอันหนึ่ง คือ สมมุติว่าหลังสิ้นสุดการบรรยาย ทุกคนมีเวลา 1 ชม.เพื่อเลือกเพื่อนร่วมชั้นคนใดคนหนึ่งในอันที่จะขอเป็นหุ้นส่วน 10% ของรายได้ของเขานับจากวันนี้จวบจนชีวิตของเขาจะหาไม่ นอกจากเลือกคนที่พ่อรวยที่สุด(หัวเราะ) คุณน่าจะเลือกเพื่อนที่มีความสามารถมากที่สุด ผมขอทำนายว่าคุณไม่น่าจะเลือกเพื่อนคนที่ทำคะแนนผลการเรียนหรือ มีไอคิวสูงที่สุด แต่กลับเลือกเอาเพื่อนคนที่มีความสัตย์ซื่อและมีไหวพริบสติปัญญาแหลมคมแทน ลองนึกเปรียบคนที่เป็นเครื่องยนต์ขนาด 300 แรงม้าและใช้กำลังเครื่องยนต์ 300 แรงม้าดังกล่าวทั้งหมด กับอีกคนที่มีกำลังเครื่องยนต์ 400 แรงม้า แต่ใช้ความสามารถเครื่องยนต์เพียงแค่ 150 แรงม้า คุณควรจะต้องเลือกเพื่อนคนที่เปรียบอย่างเช่นเครื่องยนต์ 300 แรงม้า

ประเด็นที่ผมต้องการจะย้ำเน้นก็คือ คุณควรจะเป็นบุคคลที่เปี่ยมล้นไปด้วยประสิทธิผล ..... โซ่ตรวนของพฤติกรรมนิสัยต่างๆของคนเราในเบื้องต้นมักจะบางเบายากที่จะรู้สึกสัมผัสได้จนกระทั่งมันผูกโยงใยกันแน่นหนาจนยากที่จะสลัดให้ขาดออกจากกันได้

คำถามและคำตอบที่เป็นจุดเด่นในการบรรยายครั้งนี้:


เหตุใดท่านถึงได้ซื้อเบิร์กชัวร์ แฮทธาเวย์ ทั้งๆที่ขณะนั้นอุตสาหกรรมสิ่งทอทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือตกต่ำลงอย่างต่อเนื่องและสภาพตกต่ำทางเศรษฐกิจในเมืองนิว เบ็ดฟอร์ด และของบริษัทต่างๆในอุตสาหกรรมนี้

ในปี 1962 ผมได้เรียนรู้วิธีการประเมินธุระกิจต่างๆจากอาจารย์ เบน แกรม ท่านยังเปรียบเปรยการซื้อธุรกิจชนิดที่เป็นก้นบุหรี่ไว้ด้วยเช่นกัน ...ปกติคุณพอจะได้อัดสูบเข้าปอดเต็มๆได้อีกสักครั้งหนึ่งจากก้นบุหรี่นี้และเป็นของฟรีด้วย เบิร์กชัวร์ทำเงินได้มากมายในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง(มากยิ่งกว่าบริษัทไฟเซอร์และเมอร์ค) และจากนั้นมาก็ดิ่งลงเขาไปเรื่อยๆ ช่วงระหว่างปี 1955 ถึง 1965 เบิร์กชัวร์มีรายได้ลดลงจาก 12 ล้านเหรีญสหรัฐมาเหลือ 2 ล้านเหรีญสหรัฐและผู้บริหารได้ซื้อหุ้นคืนกลับเข้าบริษัทขณะเดียวกันโรงทอฝ้ายต่างๆก็ทะยอยปิดตัวลง ในปี 1962 จากจำนวนหุ้นทั้งหมด 1 ล้านหุ้นเราได้ซื้อไว้ 100,000 หุ้น ที่ราคา 7 3/8 เหรียญ และบริษัทมี working capital อยู่ที่ 10-11 เหรียญต่อหุ้น ....... ผมรู้ว่าผมไม่มีทางขาดทุนแน่ๆก็เพราะเจ้า working capitalนี่แหละ ขณะที่แม้บริษัทกำลังขาดทุน แต่ก็ได้มีการปลดขายสินทรัพย์ต่างๆออกไปโดยวิธีทะยอยปิดโรงทอฝ้าย ผู้บริหารเบิร์กชัวร์ขณะนั้นคือ Seabury Stanton และผมมีโอกาสได้ไปเยี่ยมเชา เราได้ตกลงกันว่าทางบริษัทจะขอซื้อคืนหุ้นจากผมในราคา 11 1/2 เหรียญ ณ เวลานั้นผมไม่สามารถซื้อหุ้นของบริษัทเพิ่มได้อีกแล้วเพราะผมล่วงรู้ข้อมูลภายในของบริษัท (inside information) ในไม่กี่สัปดาห์ต่อมาผมได้รับจดหมายจากทรัสชื่อ Old Colony Trust พร้อมข้อเสนอขอซื้อหุ้นบริษัทที่ราคา 11 3/8 ในตอนต้นอาทิตย์ถัดไป Seabury ได้ซื้อคืนหุ้นที่ราคา 11 3/8 ด้วยเหตุนี้ ผมจึงได้เริ่มซื้อหุ้นเบิร์กชัวร์เพิ่มขึ้นได้อีก สมาชิกครอบครัวคนอื่นของ Seabury Stanton ได้ขายหุ้นของพวกเขาแก่ผมและทำให้ผมสามารถควบคุมบริหารบริษัทนี้ได้ในที่สุด โดยความเป็นจริงแล้ว สมาชิกครอบครัวคนอื่นๆก็ไม่พอใจกับการกระทำของ Seabury ด้วยเช่นกัน เราดำเนินกิจการของเบิร์กชัวร์ แฮทธาเวย์ไปจนกระทั่งปี 1985 ก็ปิดกิจาการทอผ้าลง

See's Candy เป็นตัวอย่างของบริษัทหนึ่งที่ให้ผลตอบแทนต่อเงินลงทุน(return on capital expenditures)ที่ต่ำ แต่บริษัทโดยรวมก็ทำเงินอย่างมากมายก็เพราะความยิ่งใหญ่ของแบรนด์ที่ชื่อ See's เราซื้อ See's ในปี 1972 และนับแต่นั้นเป็นต้นมาเราได้ปรับราคาสินค้าหลังวันคริสต์มาสของทุกปีและไม่เคยที่จะส่งผลกระทบต่อบริษัทเลย เมื่อเราลงทุน เราตั้งคำถามหนึ่งเสมอว่า ต้องรอนานเท่าใดเราถึงจะปรับเพิ่มราคาสินค้าได้ ปัจจุบันถ้าคุณทำธุรกิจการบินพาณิชย์และคุณประกาศเพิ่มราคาตั๋วเครื่องบิน ภายใน 1 ชั่วโมงต่อมา คุณจะต้องประกาศลดราคาลงมาตามเดิมเพราะการแข่งขันสูงนั่นเอง แต่เหตุการณ์เช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นกับสินค้าแบรนด์อย่าง See's ถ้าสมมุติว่าผมให้เงินคุณ 100 ล้านเหรียญ แต่ผมจะไม่ให้คุณหรอก แต่ถึงผมจะให้คุณ คุณก็ไม่สามารถต่อสู้กับแบรนด์ที่แข็งแกร่งอย่างเช่น See's ซึ่งอยู่ในใจของผู้คนกว่า 30 ล้านคนในคาลิฟฟอร์เนียได้ มีแต่เพียง See's เท่านั้นที่ทำได้ แบรนด์ของบริษัทก็คือ คำมั่นสัญญาที่จะมอบสินค้าที่มีคุณภาพและบริการเยี่ยมยอดแก่ลูกค้าที่คาดหวังไว้



ท่านบัฟเฟตต์ครับ ท่านได้เคยสาธยายไว้ว่า เบิร์กชัวร์ แฮทธาเวย์ เปรียบเสมือนเป็นจิตรกรรมชิ้นเอกของท่านซึ่งเป็นองค์กรธุรกิจที่กำเนิดขึ้นโดยต้องใช้ความชำนาญเชี่ยวชาญชั้นปรมาจารย์ที่สามารถสร้างผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นแบบทบต้นที่อัตรา 21.5 % ต่อปีนับแต่วันที่ท่านเข้าควบคุมกิจการเป็นต้นมา ท่านได้เคยพรรณาถึงงานของท่านไว้ว่าเป็นงานของการเป็นผู้จัดสรรการลงทุนเม็ดเงินและบอกว่าเป็นงานที่นำมาซึ่งความสุขตลอดชั่วชีวิตของท่าน เมื่อเดือน กรกฎาคม ปี 2006 ท่านได้แบ่งสรรปันส่วนหุ้นส่วนตัวทั้งหมดของท่านที่ได้สะสมไว้ในเบิร์กชัวร์ แฮทธาเวย์ให้แก่มูลนิธิบิลล์และ เมลินดา เกตส์ และมูลนิธิอื่นๆอีก 4 แห่ง การกระทำเช่นว่านี้หากมองในแง่ของขนาดแล้วถือได้ว่ามโหฬารมาก ซึ่งเป็นปฏิบัติการที่สุดยอดและมีเป้าหมายของการเป็นคนใจบุญที่ปราศจากซึ่งความเห็นแก่ตัว ปัจจุบันภาระและงานธุรกิจวันต่อวันจึงตกแก่มูลนิธิบิลล์และเมลินดา เกตส์ในอันที่จะจัดสรรเม็ดเงินจำนวน 15 ล้านเหรียญสหรัฐที่ท่านบริจาคให้ ในความเห็นของท่านแล้วการกระทำที่ไม่น่าเชื่อเช่นนี้ในส่วนใดที่ถือได้ว่าสำคัญที่สุดและส่วนใดที่ก่อให้เกิดความกังวลแก่ท่านมากที่สุด เพราะเหตุใด

อันที่จริงแล้วผมได้ตั้งใจไว้ในใจเมื่อ 15 ปีก่อนโน้นแล้ว โดยเป็นโครงการไว้ในใจว่าจะจัดตั้งทรัสต์ เมื่อตอนที่ภรรยาผมถึงแก่กรรม มันเหมือนกับว่าผมถูกบีบคั้นให้ต้องทำอะไรบางอย่าง ไม่นานต่อมาภายหลังจากการปรึกษาหารือเกี่ยวกับแผนที่ผมจะทำกับ บิลล์และเมลินดา เขาทั้งสองได้มอบหนังสือที่เป็นเล่มต้นฉบับของ อดัม สมิธ ที่ชื่อว่า "ความมั่งคั่งของนานาประเทศ (Wealth of Nations)" ในบทที่หนึ่ง อดัม สมิธ พูดถึง "แรงงานที่เชี่ยวชาญเฉพาะทาง(Specialiaztion of Labor)" ซึ่งกล่าวถึงตลาดต่างๆและปล่อยให้ประเทศต่างๆบ่มเพาะความชำนาญและทำเฉพาะงานที่ประเทศเหล่านั้นเก่งจริง ไมค์ ไทสัน ไม่ต้องคิดที่จะมาบริหาร เบิร์กชัวร์ และผมก็ไม่พยายามที่จะขึ้นไปต่อกรกับไมค์ ไทสันบนสังเวียนกำปั้น สิ่งนี้ทำให้ผมเริ่มมองถึงเรื่องความใจบุญสุนทาน ผมเริ่มมองหาคนที่อายุหนุ่มแน่นกว่า เฉลี่ยวฉลาดกว่า และมีประสบการณ์มากกว่า และกำลังจัดการกับเม็ดเงินของเขาอยู่ ผมมองหาคนที่มีเป้าหมายคล้ายคลึงกันกันกับผม ผู้ที่น่าจะจัดการกับก้อนเม็ดเงินได้ดีที่สุด ที่สุด ผมได้หาคนจากนอกองค์กรของผมเพื่อทำหน้าที่ดูแลจัดการเกี่ยวกับการทำบุญของผม มันเป็นแค่เรื่องธรรมดาที่ไม่ต้องใช้หัวคิดอะไรมากมายหรอก

ในบทความที่ตีพิมพ์ไว้ในนิตยสารฟอร์จูน ผมบอกไว้ว่า ธุรกิจเป็นเกมที่ผมรักและชื่นชอบเพราะผมจะเลือกทำในเรื่องที่ง่ายๆ เท็ด วิลเลี่ยมได้แต่งหนังไว้เล่มหนึ่งเกี่ยวกับการลงมือตีลูกเบสบอล และเขาบอกว่าการจะประสบความสำเร็จในกีฬาเบสบอล คุณต้องรอตีในจังหวะเวลาที่ดีที่สุด สำหรับผมแล้ว See's Candies เป็นการตีที่ง่ายของผม มันไม่เหมือนกับนักกระโดดน้ำโอลิมปิก ซึ่งใครก็สามารถทำท่ากระโดดแบบง่ายๆได้สมบูรณ์แบบ แต่จะได้คะแนนต่ำกว่าอีกคนที่พยายามทำให้เกิดการกระจายของน้ำอย่างมากด้วยท่ากระโดดที่ยากกว่า ในการกระโดดน้ำคุณถูกตัดสินคะแนนด้วยระดับความยากของท่ากระโดด การทำบุญสุนทานตรงกันข้ามกับการลงทุนในแง่ของระดับความยาก การทำบุญสุนทานมันเป็นเรื่องของความพยายามในอันที่จะแก้ปัญหาที่ยากที่สุดของสังคม ดังนั้นคุณพึงหวังได้เลยว่ามีโอกาสล้มเหลวบ่อยมาก โดยส่วนตัวแล้วผมไม่ชอบความล้มเหลว ดังนั้นผมจึงขอปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคนอื่นทำ โดยส่วนตัวแล้วผมไม่สบายใจนักกับการทำงานบางอย่างที่ผมไม่สามารถทราบผลตอบกลับที่ทำให้ผมทราบว่าผลงานดีมากน้อยเท่าใดและโดยเท็จจริงแล้ว ก็คือการคาดหวังว่าโครงการต้องล้มเหลว ณ เวลานี้ มมจะมีอายุยืนยาวไปอีก 12 ปีและผมน่าจะสามารถพอกพูนเงินบริจากคของผมได้อีกหลายๆหมื่นล้านเหรียญสหรัฐในช่วงเวลาดังกล่าว ผมจะยังคงยึดมั่นกับงานที่ผมกำลังทำอยู่และผมดีใจที่มีคนอื่นทำหน้าที่แจกจ่ายเงินออกไป

ผมช่างโชคดีที่ได้อยู่ในที่เหมาะสมในเวลาที่เหมาะเจาะลงตัว หากไปเกิดที่อื่น ในช่วงเวลาที่ต่างๆไป ผมจะไม่สามารถประสบความสำเร็จได้เช่นนี้ สังคมช่วยทำให้ผมหาเงินหาทองได้และเงินของผมก็ควรจะคืนกลับสู่สังคม



ท่านได้กล่าวไว้ว่าเมื่อ 50 ปีก่อนหรือก่อนหน้านั้นไปเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นอเมริกา - ด้วยเป็นเพราะมีการเสนอขาย ณ ราคาเพี้ยนๆอยู่เยอะแยะไปหมด ท่านเชื่อว่าจะมีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นซ้ำรอยอีกหรือเปล่า และถ้าขณะนี้ท่านอายุ 26 ปีและมีเงินทุนอยู่ 1 ล้านเหรียญแล้วท่านจะสร้างผลตอบแทนแบบทบต้น 50% ด้วยวิธีการอย่างไร เพราะท่านเคยพูดว่าอาจทำได้กับจำนวนเม็ดเงินลงทุนที่มีขนาดเล็กกว่า

โอกาสที่น่าสนใจต่างๆเกิดขึ้นโดยการเฝ้าสังเกตุดูพฤติกรรมของมนุษย์ ในปี 1998 ผู้คนประพฤติตนเป็นคนหวาดกลัวคล้ายกับคนยุคโบราณที่อาศัยอยู่ในถ้ำ(อ้างถึงการล่มสลายของกองทุน the Long Term Capital Management) ทุกคนสร้างโอกาสต่างๆได้ด้วยตัวเอง ผู้คนมักจะอยู่เฉยไม่ทำอะไรเพราะความหวาดกลัวและออกอาการกระดี้กระด้าเมื่อถูกครอบงำด้วยความโลภ ทั้งนี้พบว่าปัจจัยเรื่องขนาดของไอคิวไม่เกี่ยวข้องเลย การสร้างการเติบโตทบต้นในอัตรา 50% ต่อปี ด้วยเม็ดเงินลงทุนขนาดเล็ก ไม่ใช่ขนาดใหญ่ ประเด็นที่ทำให้ผมร่ำรวยก็คือ การมองหาหุ้นที่ให้ผลตอบแทนที่แข็งแกร่ง

ห้าสิบปีก่อนไม่ได้เป็นช่วงที่เหมาะสม ช่วงนั้นเป็นเพียงแค่การฉกฉวยเอาประโยชน์จากพฤติกรรมของมนุษย์ มนุษย์เองนั่นแหละเป็นผู้ก่อให้เกิดโอกาสต่างๆโดยการนิ่งเฉยเมื่อเกิดความหวาดกลัว หรือ กระตือรือล้นเมื่อเกิดความโลภ ความสำเร็จเกิดจากความผิดปกติของพฤติกรรมมนุษย์ที่มอบให้แก่ท่าน ทั้งนี้ท่านต้องสามารถฉีกอารมณ์ของตนเองให้แยกออกจากอารมณ์ของฝูงชนได้

ในปี 1951 ตอนผมเรียนจบจากมหาวิทยาลัยตอนอายุ 20 ปี เวลานั้นมีสำนักพิมพ์ 2 แห่งที่พิมพ์ข้อมูลเกี่ยวกับตลาดหุ้น คือ Moody's และ Standards and Poor's ตอนนั้นผมใช้ของ Moody's และก็อ่านคู่มือหุ้นทุกๆเล่ม เมื่อไม่นานมานี้ผมก็ได้ซื้อคู่มือของปี1951 ของ Moody's จาก Amazon บนหน้า 1433 จะมีหุ้นตัวหนึ่งที่สามารถทำเงินให้คุณได้ขณะนั้น หุ้นตัวหนึ่งมีกำไรสุทธิต่อหุ้น(EPS) 29 เหรียญและราคาในตลาดวิ่งอยู่ระหว่าง 3-21 เหรียญ ในอีกหน้าหนึ่ง พบว่ามีบริษัทหนึ่งทำกำไรสุทธิต่อหุ้น 29.5 เหรียญ ขณะที่ราคาในตลาดวิ่งอยู่ระหว่าง 27-28 เหรียญ เท่ากับ 1X เท่าของกำไรสุทธิ(p/ e = 1) คุณสามารถจะเป็นเศรษฐีร่ำรวยได้โดยการเสาะหาสิ่งต่างๆดังกล่าวมา ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้ไม่มีการเขียนถึงเลย

เมื่อ 2 ปีก่อนผมได้รับคู่มือการลงทุนในตลาดหุ้นเกาหลีมา ผมเริ่มลงมือศึกษาคู่มือดังกล่าวอย่างละเอียด ลองดูบริษัทหนึ่งที่ชื่อ...Dae Han ผมไม่รู้ว่าจะออกเสียงเรียกชื่อบริษัทนี้อย่างไร บริษัทนี้ทำธุกิจผลิตแป้ง ก่อนหน้านี้บริษัทนี้ทำกำไรสุทธิ 12,879 วอน ปัจจุบันมูลค่าทางบัญชีอยู่ที่ 200,000 วอน และทำกำไรสุทธิ 180,000 วอน มูลค่าซื้อในตลาดทำสูงสุดที่ 43,000 และต่ำสุด 35,000 วอน ล่าสุดตอนนั้นราคาอยู่ที่ 40,000 วอน หรือ 2 เท่าของกำไรสุทธิ แค่ 4 ชั่วโมงผมก็หาบณิษัทลักษณะเช่นว่านี้ได้ถึง 20 บริษัท

ประเด็นก็คือ จะไม่มีผู้ใดมาคอยบอกกล่าวให้คุณทราบเกี่ยวกับบริษัทอย่างที่กล่าวมาข้างต้น ไม่เคยมีรายงานจากบริษัทโบรกเกอร์ใดๆเลยเคยทำวิจัยรายงานเกี่ยวกับบริษัท Dae Han Flour ถ้าหากคุณลงทุนในบริษัทเช่นว่านี้คุณจะทำกำไรได้ แน่นอนว่าต้องมี 1 หรือ 2 บริษัทที่เราเลือกปรากฏผลลัพธ์ออกมาแย่ แต่บริษัทที่เหลือจะทำกำไรโดยรวมได้มากกว่าส่วนที่ขาดทุน แน่นอนที่ไม่จำเป็นว่าทุกบริษัทที่เราเลือกจะต้องเป็นบริษัทที่ดีและจะมีบางบริษัทที่ผลงานดีและจะเป็นบริษัทที่ทำให้คุณร่ำรวย และเหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงปี 1932 แต่อย่างใด แต่เป็นเหตุการณ์เมื่อปี 2004 นี่เอง โอกาสต่างๆเช่นนี้จะยังคงเกิดขึ้นต่อไปอีกใน 30ปีข้างหน้าคุณจะเผชิญกับเหตุการณ์ความไม่แน่นอนอย่างต่อเนื่องดังเช่นกรณีคุณ ตัดสินใจเลือกซื้อหุ้นแล้วปรากฏพบเป็นบริษัทที่แย่อยู่บ้างและไม่บ่อยครั้งที่คุณจะทำกำไรงามกับหุ้นทุกๆตัวที่คุณเลือกซื้อ

นักวิเคราะห์ในตลาดหุ้นวอลล์ สตรีตทั้งหลายเป็นคนเฉลี่ยวฉลาดทั้งนั้น พวกคนเหล่านี้จะเก่งกว่าในเรื่องคณิตศาสตร์ แต่พวกเรารู้เรื่องธรรมชาติของมนุษย์มากกว่า ในชีวิตการลงทุนคุณจะพบโอกาสต่างๆมากมายและจะมีโอกาสเพียง 1 หรือ 2 ครั้งที่ไม่มีทางผิดพลาดเลย ตัวอย่างเช่น ในปี 1998 ธนาคารกลาง ของสหรัฐฯในกรุงนิวยอร์คเสนอขายพันธนบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปีด้วยอัตราผลตอบแทนต่ำกว่าพันธบัตรรัฐบาลอายุ 29-1/2 ปีถึง 30 จุด สิ่งที่เกิดขึ้น ก็คือ กองทุนบริหารเงินทุนที่ชื่อ LTCM (Long Term Capital Management)เสนอการซื้อขายที่10 จุดและมีการซื้อขายกันอย่างเนืองแน่นมาก แน่ นอนว่ากองทุนนี้ต้องทำกำไรได้แน่นอน 100% แต่ปรากฏคนเหล่านี้ไม่สามารถฉกฉวยโอกาสนี้ได้ ผมเข้าใจในเรื่องธรรมชาติของมนุษย์มากกว่า ผู้บริหารกลุ่มนี้ล้วนเป็นผลิตผลของ MIT ถือได้ว่าเป็นคนที่เฉลียวฉลาดจริงๆ และเขาเหล่านี้เกือบทำให้ระบบการเงินของประเทศล่มสลายด้วยระบบ การซื้อขายโดยใช้ระบบมาร์จินอัตราสูง(highly leveraged trading)

แน่นอนว่าช่วงเวลาดังกล่าวเป็นเวลาที่ดีสำหรับการซื้อหุ้น

ท่านบัฟเฟตต์ครับหากต้องการศึกษาข้อมูลในประเทศอื่นๆ ท่านจะพิจารณาวิเคราะห์สถานะทางการคลังโดยรวมของประเทศ หรือว่าท่านเพียงมุ่ง วิเคราะห์สถานะทางการเงินของแต่ละบริษัทในประเทศนั้นเป็นรายๆไป ท่านเอ่ยถึงการลงทุนในบริษัทต่างๆในประเทศเกาหลี - ท่านคำนึงถึงสถานะ ภาพทางการคลังของประเทศที่ท่านเข้าไปลงทุนด้วยหรือไม่

เราให้ความสำคัญเกี่ยวกับประเทศที่บริษัทที่เราสนใจดำเนินกิจการอยู่ การลงทุนนอกประเทศสหรัฐมีข้อเสียเปรียบ เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาเราพิจารณา เปรียบเทียบว่าจะลงทุนในบริษัท Petrochinaหรือ Yukosของรัสเซีย สุดท้ายเราเลือก Petrochina เพราะการมีเสถียรภาพทางการเมืองที่มั่นคงกว่า ผล ปรากฏว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง ผมให้ความสำคัญเกี่ยวกับประเทศและสถาณะภาพทางการเมืองของประเทศที่ผมจะเข้าไปลงทุน

มูลค่าทั้งหมดของบริษัทอยู่ที่ 35 พันล้านเหรียญ โดยราคาเสนอขายเพียง 1/4 ของราคาบริษัท Exxon แต่ว่าสามารถทำกำไรสุทธิสูงถึง 80% ของกำไรที่บริษัท Exxon ทำได้ วันหนึ่งขณะกำลังอ่านรายงานประจำปีของบริษัทฯและปรากฏว่ารายงานดังกล่าวตรงส่วนของสารจากประธานบริษัทฯ บอกไว้ว่าทางบริษัทมีนโยบายจ่ายปันผล 45% ของกำไรที่ได้ อัตราดังกล่าวถือได้ว่าสูงกว่าบริษัทใดๆในอุตสาหกรรมเดียวกัน และผมก็ชอบให้มีเงินทุสำรองหากบริษัทนี้อยู่ในอเมริกา ราคาเสนอขายน่าจะอยู่ที่ 85 พันล้านเหรียญ เพราะบริษัทนี้เป็นบริษัทที่ดีและมั่นคง ผมไม่เข้าใจวัฒนธรรม ของชาวจีนดีเหมือนอย่างที่ผมเข้าใจวัฒนธรรมของคนอเมริกัน อย่างไรก็ตาม ในรายงานประจำปีได้ระบุว่าบริษัทจะจ่ายเงินปันผลให้ในอัตรา 45% ของกำไร โดยปกติถ้าบริษัทสามารถทำเงินได้ก็จะจ่ายปันผลให้ ผมลงทุนไปจำนวน 450 ล้านเหรียญและปัจจุบันมูลค่าตลาดอยู่ที่ 3.5 พันล้านเหรียญ ผมตัดสินใจเลือกจีนแทนที่จะเป็นรัสเซีย ผมชื่นชอบบรรยากาศการลงทุนในจีนมากกว่า ตอนเดือนกรกฎาคม เจ้าของบริษัท Yukos คือ มิคาเยล โค ดอร์คอฟสกี้ (ตอนนั้นเขาเป็นคนรวยที่สุดในรัสเซีย) ได้มาทานอาหารเช้ากับผมและปรึกษหารือถามผมว่าพวกเขาควรจะขยัยขยายหุ้นไปไว้ที่ นิวยอร์คและจะเป็นภาระที่ยุ่งยากเกินไปหรือไม่เมื่อพิจารณาจากกฏระเบียบข้อบังคับของ SEC ของสหรัฐอเมริกา สี่เดือนให้หลังจากนั้น มิคาเยล โคดอร์คอฟสกี้ก็เข้าคุก โดยปูตินเป็นคนสั่งการ เขาต่อต้านปูตินและเขาเป็นฝ่ายแพ้ การตัดสินใจของเขาเกี่ยวกับความคิดทางการเมืองของเขาผิด พลาดและขณะนี้บริษัทนี้ก็ถูกปิดตัวลง การลงทุนใน Petrochina ถือเป็นการตัดสินใจลงทุนที่สุดยอด การจ่ายปันผล 45%เป็นเรื่องไม่ปกติ แต่ประ เทศจีนเขารักษาคำพูด ไม่มีที่ไหนที่ผมจะสบายใจเท่ากับการลงทุนในสหรัฐ เพราะเรื่องกฏหมายของที่อื่นเอาแน่เอานอนไม่ค่อยจะได้ แต่ประเด็นก็ คือราคาหุ้นตอนนั้นถูก สภาพการเมืองในรัสเซียก็ย่ำแย่ แต่ในทางกลับกันประเทศจีนรักษาคำพูดในเรื่องการจ่ายเงินปันผล จริงๆแล้วเมื่อตอนที่เช็ค จ่ายเงินปันผลออกมา ปรากฏว่าเขาคิดจำนวนเงินปันผลออกมาเป็นจุดทศนิยมส่วน 10 หรือมากกว่า คนเหล่านี้รักษาคำพูดดี ผมไม่รู้เรื่องกฏหมาย เกี่ยวกับภาษีของจีน แต่คุณสามารถตัดสินใจซื้อธุรกิจที่ดีในราคาถูกได้เลย ที่เบิร์กชัวร์ แฮทธาเวย์เราต้องใช้เงินลงทุนจำนวนหลายๆร้อยล้านเหรียญ เพื่อทำให้เกิดผลลัพธ์โดยรวมบริษัท เรามีปัญหาเกี่ยวกับการเสาะแสวงหาการลงทุนต่างๆที่ดูแล้วคุ้มค่าต่อการลงทุน


หากมองไปยังอัฟริกา ท่านมีวิธีเสาะหาหุ้นคุณภาพสูงกว่าค่าเฉลี่ยอย่างไรหากเราประสบกับปัญหาความพร้อมของข้อมูลที่เชื่อถือได้และข้อจำกัดของอัฟริกา ขอท่านกรุณาให้แนะนำที่ดีที่สุดเกี่ยวกับการให้ได้มาซึ่งข้อมูลที่เชื่อถือได้


มีบริษัทในอัฟริกาจำนวนไม่มากนักที่มีขนาดใหญ่พอที่จะทำให้เบิร์กชัวร์สนใจศึกษาเพื่อการลงทุน อาจมีเพียงแค่ 3 บริษัท ได้แก่ DeBeers ,Anglo-American, หรือ SAB Miller ขณะเดียวกันก็ไม่ค่อยจะมีข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทดังกล่าวมากนัก ผมทราบว่ามีข้อมูลเกี่ยวกับหุ้นในอัฟริกาใต้ ข้อสำคัญก็คือ ต้องหาข้อมูลที่มีความเชื่อถือได้ เทียบกับ เกาหลีพบว่ามีข้อมูลอยู่ดาษดื่น ที่นั่นมี Kissline online ผมสามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับตลาดหุ้นของเกาหลีภายในไม่กี่วินาที ไม่ว่าจะเป็น รายงานประจำปี หรือ รายงานรายไตรมาส ผมไม่แน่ใจว่าถ้าเป็นกรณีของอัฟริกาใต้เราจะหาข้อมูลออนไลน์ได้อย่างนี้หรือเปล่า ผมว่าก็ไม่เป็นไร เพราะผมไม่ต้องที่จะชนะในทุกเกม ขอเพียงให้ชนะในเกมที่ผมเล่นอยู่ก็พอ

ท่านพอจะอธิบายลักษณะนิสัยของท่านเองว่าเป็นอย่างไรได้ไหมครับและลักษณะนิสัยของท่านข้อใดที่ท่านเชื่อว่าเป็นส่วนสำคัญที่สุดที่ทำให้ท่าน ประสบความสำเร็จ

ลักษณะนิสัยสำคัญที่คุณต้องมี ได้แก่ ไหวพริบปฏิภานที่ชาญฉลาด ความอดทน และความสนใจ แต่ที่สำคัญที่สุด คือ ความเป็นคนมีเหตุมีผล ในปี97-98 ผู้คนขาดความมีเหตุมีผล ผู้คนแห่ตามกันทำในสิ่งที่คนอื่นกำลังทำอยู่ขณะนั้น อย่าไปสนใจกับสิ่งที่ผู้คนกำลังทำอยู่ การฝืนกระแสก็หาใช่ประเด็นไม่ แต่การแห่ตามฝูงชนก็ไม่ใช่อีกเช่นกัน คุณจำเป็นที่จะต้องแปลกแยกอารมณ์ของคุณออกจากอารมณ์ของฝูงชน คุณจำเป็นที่จะต้องนั่งคิดตรึกตรองว่าเกิดอะไรขึ้นในสภาวะแวดล้อมนั้น การได้อยู่ที่โอมาฮาช่วยผมได้มากในเรื่องนี้ เมื่อตอนที่ผมอยู่ที่นิวยอร์ค จะมีคนจำนวน 50 คนมาคอยกระซิบข้างหูผมในช่วงก่อนเวลาบ่าย บางครั้งมันก็เครียดนะเปรียบเหมือนกับตอนระบบอินเตอร์เน็ตล่มอย่างไงอย่างงั้นเลย ไม่มีใครชื่นชอบการได้เห็นเพื่อนบ้านทำอะไรบ้าๆแล้วร่ำรวยหรอก ซี่งก็เปรียบเหมือนงานเลี้ยงของซินเดอเรลล่า ผมคิดว่าจะขอเต้นอีกสักรอบหนึ่งแล้วจะเลิก ก็มันยังไม่เที่ยงคืนเลยนี่ ดูๆก็เหมือนง่าย-แต่เป็นเรื่องยากจริงๆที่จะออกจากงานเลี้ยง ปัญหากับตลาดหุ้นก็คือไม่มีนาฬิกาบอกเวลาให้ดู คุณไม่มีทางรู้หรอกว่าเมื่อไหร่จะถึงเวลาเที่ยงคืนเพื่อว่าคุณจะได้เผ่นออกจากงาน ชาลี มังเกอร์ และ โทนี้ ไนซ์ลี่ซึ่งเป็นหุ้นส่วนของผมเป็นผู้มีเหตุมีผล คนที่มีไอคิว 160 สามารถพูดเรื่องโง่ให้ดูเหมือนดูว่าดีได้ ผู้คนจำนวนมากทำแต่เรื่องโง่เขลา ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะมีไอคิว 120 หรือ 160 คุณสามารถพัฒนาความคิดแบบที่เป็นเหตุเป็นผลหรือมีตรรกะของคุณเองได้เสมอ สิ่งหนึ่งที่จะช่วยคุณได้ก็คือ การจดบันทึกว่าจะซื้อหุ้นตัวหนึ่งด้วยเพราะเหตุผลอะการไรก่อนตัดสินใจซื้อทุกครั้ง เขียนลงไปเลยว่า "ผมกำลังจะซื้อไมโครซอฟท์ที่ราคา 300 ต่อหุ้น เพราะ....." บีบบังคับตัวเองให้จดบันทึกลงไป มันจะช่วยให้มีความชัดเจนกับจิตใจคุณและเป็นการสร้างวินัยด้วย วิธีปฏิบัติเช่นว่านี้ย่อมทำให้คุณเป็นคนมีเหตุมีผล

กรุณาแสดงความเห็นของท่านเกี่ยวกับการซื้อขายแลกเปลี่ยนกองทุน(ETF's - Exchange-traded funds)และท่านมีวิธีการประเมินตัดสินใจให้ถูกต้องอย่างไร

ETF's เป็นวิธีการเข้าตลาดหุ้นหรืออุตสาหกรรมที่มีต้นทุนต่ำพอควร เราไม่ถือกองทุนเหล่านี้และไม่คิดจะซื้อด้วย ผมแนะนำให้ผู้ที่ไม่อยากเสียสละเวลาเพื่อศึกษาเกี่ยวกับตลาดหุ้นให้หันไปซื้อ Index funds อันนี้เหมาะสำหรับผู้คนส่วนใหญ่ที่อยู่ในกลุ่ม 95% ของประชากร ถ้าหากคุณไม่เสียสละอะไรเลยแม้แต่น้อยให้กับเกมที่คุณเล่น ก็อย่าหวังว่าจะชนะเลย

เมื่อพูดถึงเรื่องการรักษาโรคเอดส์ในอัฟริกา ท่านหวังที่จะแก้ปัญหาเกี่ยวกับความถึงพร้อมของข้อมูลสำหรับการบริหารจัดการอย่างไร

บิลล์และเมลินดาสามารถจัดการกับปัญหาต่างๆเหล่านี้ได้ดีกว่าให้ผมทำเอง ผมมีหน้าที่บริจาคเงินเพิ่มเติมให้เพียงพอให้เพื่อเขาทั้งสองจะได้ทำงานได้สะดวก ผมถนัดในเรื่องการหาเงินทุนมากกว่า ปล่อยให้คนอื่นทำในสิ่งที่เขาเชี่ยวชาญ เราสามารถทำอะไรโดยอาศัยมูลนิธิการกุศลเอกชนต่างๆ ได้ดีกว่าของรัฐบาล เราประเมินตัดสินความสำเร็จของเราเองโดยพิจารณาว่าเราแก้ไขปัญหาอย่างชาญฉลาดอย่างไรมากกว่าที่จะตัดสินจากความสำเร็จหรือล้มเหลว บิลล์ เกตส์เห็นว่าทุกชีวิตบนโลกนี้มีคุณค่า พวกเราในอเมริกาต้องการความช่วยเหลือน้อยกว่าความต้องการของประเทศอื่นมาก

มีการโต้เถียงกันเรื่องกฏหมายมรดกและอสังหาริมทรัพย์ใน Capitol Hill และตามข้อเท็จจริงท่านยังมีจุดยืนที่มั่นคงและตามความเห็นของท่านว่าควรให้มีกฏหมายดังกล่าวต่อไป ท่านพอจะกรุณาแบ่งปันแนวคิดว่าทำไมผู้ออกกฏหมายไม่ควรที่จะเปลี่ยนแปลงข้อกฏหมายฉบับนี้ได้ไหม

เอ้อ มันไม่ได้เป็นภาษีคนตายสักกะหน่อย มีคนตายในอเมริกาปีหนึ่ง 2.2 ล้านคน จากจำนวนนี้มีอสังหาริมทรัพย์เพียง 4000 แห่งที่ต้องถูกเก็บภาษี ปีๆหนึ่งธนาคารกลางของรัฐบาลเก็บภาษีเงินในส่วนของอสังหาริมทรัพย์ได้ 3หมื่นล้านเหรียญ พบว่ามีผู้สืบทอดมรดกในอัตราสูงมากที่จะได้รับอสังหาริมทรัพย์ด้วยมูลค่า50ล้านเหรียญหรือมากกว่าเราต้องตั้งคำถามกับตนเองว่านโยบายการจัดเก็บภาษีในสังคมของเราทำอย่างไรถึงจะเหมาะสม ลองให้ผมอธิบายตัวอย่างด้วยเกมก็แล้วกัน ให้ลองจินตนาการเอาว่า24ชั่วโมงก่อนที่คุณจะลืมตาออกมาดูโลก จินนี่(ในตะเกียงวิศษ)มาหาคุณและยอมให้คุณออกแบบโลกที่คุณต้องการจะเข้าไปอยู่เอง โดยคุณเองระบุถึงหน้าตาหรือรูปแบบของระบบการเมือง เศรษฐกิจ และสภาพสังคมบนโลกดังกล่าว แต่มีข้อแม้อย่างหนึ่งว่า คุณมีสิทธิจับฉลากได้เพียงใบเดียวจากจำนวนฉลากทั้งหมด 6000ใบ ในฉลากใบดังกล่าวจะระบุลักษณะอุปนิสัยของคุณบนโลกนี้ เป็นต้นว่า คุณจะได้เกิดในสหรัฐ หรือบังคลาเทศ เป็นเพศชายหรือหญิง มีผิวสีดำหรือขาว พัฒนาการทางสมองช้าหรือปกติ ฯลฯ เป็นต้น คุณจะทำอย่างไร คุณจะต้องการออกแบบให้เป็นโลกที่มีกฏเกณฑ์ของการดูแลให้เกิดความมั่งคั่งเป็นอันดับแรกหรือเป็นโลกที่มีการสร้างผลผลิตอย่างมากมายและทุกคนเป็นคนมีคุณภาพสร้างสรรงาน คุณจะสร้างสังคมที่พรั่งพร้อมด้วยความอุดมสมบูรณ์ ประการที่สอง คุณต้องการความยุติธรรม คุณต้องการให้มีการกระจายผลผลิตออกไปสู่ทุกคนอย่างทั่วถึง คุณต้องการออกแบบโลกที่ปราศจากซึ่งความหวาดกลัว ปราศจากซึ่งความประหวั่นพรั่นพึงต่อการเป็นคนแก่ คุณต้องการโลกที่มีความเท่าเทียมกันทางโอกาสต่างๆ ระบบตลาด และคนที่ดีที่สุดได้เข้าไปอยู่ในที่ตนถนัด คุณต้องการโลกที่คอยดูแลคนที่จับได้ฉลากที่เลวร้าย เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับศาสนา ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมไม่เข้าใจและยังสงสัยอยู่ ในตอนที่ผมเกิดมา มีโอกาส 50 ต่อ 1 ที่ผมจะได้โอกาสเกิดในสหรัฐเมริกา ผมจับชนะได้ล๊อตเตอรี่เกิดจากรังไข่มารดา

คุณต้องแน่ใจด้วยว่าฉลากสำหรับผู้โชคดีทั้งหลายมีการสร้างแรงจูงใจให้เขายังคงอยากทำงานไปเรื่อยๆ คุณต้องการให้ผู้อื่นมีความเท่าเทียมกันทางโอกาสต่างๆด้วยเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องสร้างผลงานให้เท่าเทียมกันทุกคน สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือ การมีระบบระเบียบกฏหมายที่ดี คุณต้องการที่จะให้คนที่มีความสามารถฉลาดเฉลี่ยวได้ทำงานตามที่เขาเหล่านั้นถนัดจริงๆ เช่นเดียวกันที่เขาปราถนาที่จะช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส ผมสามารถจัดให้ผู้สืบสกุลรุ่นต่อๆไปของผมไม่จำเป็นต้องทำงานทำการเลยเป็น 10 ชั่วอายุคน ดังนั้นผมก็สามารถจัดแจงให้ลูกหลานผู้สืบสกุลของผมไม่ต้องเข้าไปอยู่ในระบบของคนที่ต้องผ่านการคัดเลือกจับฉลาก มีทางเป็นไปได้ที่บรรดาผู้สืบสกุลของผู้มั่งคั่งทั้งหลายอาจต้องเป็นผู้เข้ารับสวัสดิการสังคม พบมีหลายตระกูล(ผมไม่ขอเอ่ยถึงชื่อตระกูล)ที่สร้างอาณาจักรเพื่อการสืบสันตติวงศ์ต่างๆขี้นโดยมีผู้คนในสังคมให้การสนับสนุนแก่เขาเหล่านี้ทั้งนี้ก็เพราะเขาเหล่านั้นเป็นส่วนหนึ่งของ "สมาคมสเปิร์มผู้โชคดี" แทนที่จะใช้บัตรแลกอาหาร พวกเขาจะมีหุ้นและพันธบัตร ดังนั้นภาษีอสังหาริมทรัพย์จึงเท่ากับเป็นการปรับเปลี่ยนความสามารถในการสร้างอาณาจักรของตระกูลเพื่อดึงเอาลูกหลานผู้สืบสกุลออกไปเสียจากกลุ่มคนทำงาน ซึ่งเป็นกลุ่มชนผู้สร้างสรรผลิตผลแก่ประเทศพวกเราทุกคนเข้าร่วมอยู่ในล๊อตเตอรี่จากรังไข่มารดา และสิ่งนี้น่าจะเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่พวกเราได้ทำกันทุกคน โดยความเป็นจริงแล้วคุณทุกคนเรียนอยู่ในโรงเรียนธุรกิจ พวกคุณเป็นคนที่ฉลาดมากและมีอนาคตที่สดใสรอคอยพวกคุณอยู่ข้างหน้า ถ้าพวกคุณมีโอกาสซื้อขายแลกเปลี่ยนฉลากล๊อตเตอรี่จำนวน 100 ใบเพื่อใช้เลือกจับคนละ 1 ใบ พวกคุณจะเอาไหม ผมขอแย้งว่าพวกคุณไม่ควรจะทำ เพราะจากจำนวน 100 จะมีเพียง 4 หรือ 5ใบสำหรับผู้จะได้เกิดในอเมริกา เพียงแค่นั้นเองจากจำนวนทั้งหมดซึ่งไม่มากเลยที่จะได้มีโอกาสก้าวเข้าสู่เส้นทางที่พวกคุณกำลังมุ่งไป ดังนั้นพวกเราจึงเป็นสุดยอดกลุ่มคน 1%ของผู้คนทั้งหมดของสังคม พวกเราโชคดีมาก ผู้สืบทอดสกุลของผมเป็นเพียงกลุ่ม 10 คนแรกของ 1/10 ของ 1%ของคนในสังคม นี่ก็หมายความว่าคุณอยู่ในกลุ่มของผู้คนที่โชคดีที่สุดของกลุ่ม 1%ของประชากรโลก

ในช่วงเริ่มต้นอาชีพท่านได้ลงทุนซื้อที่ดินแล้วปล่อยเช่าให้กับชาวนาในท้องถิ่น เหตุใดท่านจึงไม่ลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ

ผมลงทุนครั้งแรกตอนอายุ 14 ปีโดยซื้ออสังหาริมทรัพย์ในรูปของฟาร์ม ผมซื้อไว้ 40 เอเคอร์แล้วให้คนอื่นจัดการเรื่องการปล่อยเช่า ผู้เช่าได้ลงทุนเพราะปลูกบนพื้นที่นั้นและเก็บเกี่ยวถั่วเหลืองได้จำนวน X บุชเชล (หน่วยตวงวัดปริมาณ)และขายไปในตลาด ที่ ราคา X เหรียญต่อบุชเชลแล้วก็ยื่นเช็คชำระค่าเช่าให้ผม ผมไม่ได้ทำอะไรในการลงทุนครั้งนี้แต่อย่างใด จริงๆแล้วผมไม่ทราบหรอกว่าเขาเก็บเกี่ยวผลผลิตตามที่เขาบอกหรือไม่ หรือ ไม่แน่ใจเขาขายผลผลิตได้ในปริมาณที่บอกให้หรือไม่ หรือในกรณีของราคาต่อหน่วยเป็นอย่างที่ว่าหรือไม่ผมก็ไม่ทราบ กรณีดังกล่าวเป็นเหมือนกับว่ามีเจ้าของผู้ดูแลฟาร์มหลายๆคนรับเอาวัวทั้งหมดของเขาไว้เลี้ยงดูในฝูงขนาดใหญ่ เมื่อถึงเวลานำส่งขายในท้องตลาดเจ้าของฝูงสัตว์ขนาดใหญ่กลับบอกว่า ขอโทษ วัวทุกตัวของคุณตายหมด แล้วคุณจะรู้ได้อย่างไรว่าวัวตัวไหนเป็นวัวของคุณ
ในปี 1980 ซึ่งเป็นช่วงวิกฤตการณ์ S&L(Saving and Loan) มีการซื้อขายที่ดิน ณ ราคา 2000 เหรียญต่อเอเคอร์ ในขณะที่พื้นที่ 1 เอเคอร์ให้ผลผลิตข้าวโพด 120 บุชเชล หรือ ให้ผลผลิตถั่วเหลือง 45 บุชเชล ที่ราคาพืชผลบุชเชลละ 2 เหรียญก็เท่ากับว่าแต่ละเอเคอร์จะสร้างรายได้ 80 เหรียญ เมื่อพิจารณาถึงอัตราดอกเบี้ยขณะนั้น คุณต้องจ่ายดอกเบี้ย 150 เหรียญต่อเอเคอร์ เท่ากับว่าคุณหาเงินได้ 80 เหรียญเพื่อใช้ชำระหนี้ 150 เหรียญ ดูแล้วไม่ค่อยเข้าท่าเลย นายธนาคารถึงกับโกรธเคืองกับการให้กู้ยืมเงิน 2000 เหรียญต่อเอเคอร์ให้ซื้อฟาร์มในอัตราดอกเบี้ย 10% เพื่อลงทุนเพาะปลูกพืชซึ่งทำรายได้ 80 เหรียญต่อเอเคอร์ หลังจากผู้คนกลุ่มหนึ่งขาดทุนในช่วงวิกฤตเช่นนั้น FDIC(Federal Deposit Insurance Corporation )เลยต้องเข้าควบคุมจัดการฟาร์มต่างๆและที่สุดต้องขายที่ดินฟาร์มต่างๆ ณ ราคา 600 เหรียญต่อเอเคอร์ ถือได้ว่าได้ราคาดี ณ เวลานั้น เหตุที่ FDIC ต้องเข้าควบคุมจัดการฟาร์มหลายร้อยฟาร์มเพราะเจ้าของฟาร์มโกรธเคืองและขาดทุนยับเยิน
เกิดการเสื่อมของมูลค่าพื้นฐานของ S&L และรัฐบาลมีสินทรัพย์ดังกล่าวรวมมูลค่านับ 100 ล้านเหรียญที่ต้องเทขายในราคาถูก จึงเป็นช่วงโอกาสสำหรับการทำกำไรได้บ้าง แต่ผมก็ไม่ชอบฟาร์มอยู่ดีเพราะเป็นการลงทุนลักษณะทางอ้อมมากไปหน่อย ผมก็ยังไม่ชอบการทำฟาร์ม ลูกชายผมชอบทำฟาร์ม แต่ผมไม่นะ

ท่านบัฟเฟตต์ครับมีหลักฐานยืนยันว่าท่านไม่เคยเจ้ากี้เจ้าการกับบรรดาผู้จัดการของท่านเองเลย ท่านมีความสามารถหยั่งรู้พิเศษเกี่ยวกับคน หรือ ท่านมีวิธีการตรวจสอบเพื่อประเมินความสามารถผู้บริหารของบริษัทต่างๆที่มีความเป็นไปได้ว่าจะเข้าซื้อหรือเปล่า

เป็นคำถามที่ดี คำถามที่ผมถาม คือ พวกเขาจะยังคงทำงานให้กับบริษัทภายหลังจากขายบริษัทไปแล้วหรือไม่ พวกเขาหลงไหลเงิน หรือ ธุรกิจ กรณีถ้าหลงไหลธุรกิจเราถึงจะตกลงกัน แต่ถ้าเป็นกรณีของเงินก็ไม่เป็นไรแต่บริษัทนั้นไม่อยู่ในสายตาของเรา ผมไม่จำเป็นต้องไปเสาะหาคนที่ได้คะแนนเต็ม 10 ในที่ต่างๆหรอก แต่ผมต้องมั่นใจว่าผู้คนที่เราติดต่อด้วยเป็นคนที่ทำคะแนนเต็ม 10 ผมทำไม่ได้หรอกที่จะมองนักเรียนทั้งห้องแล้วบอกว่า "คุณทำคะแนนได้ 6.5 คุณทำคะแนนได้ 8" ผมจักต้องค้นหาคนเพียงไม่กี่คนที่ทำคะแนนได้เต็ม10 ต่อคำถามที่ว่า ผมมีความสามารถหยั่งรู้เฉพาะเพื่อประเมินตัดสินความสามารถของเจ้าของบริษัท ขอตอบว่า เป็นบางครั้งเท่านั้น ผู้คนเหล่านี้จะแสดงออกให้เห็น ผมไม่รู้จะตอบว่าอย่างไรดี ที่เบิร์กชัวร์เราไม่เคยทำสัญญาเลย คนอยู่ช่วยทำงานให้เราก็ด้วยความอยากที่จะอยู่ทำธุรกิจของเขาและผมก็ไม่ประสงค์ที่จะคอยจ้ำจี้จ้ำไชเขาเหล่านั้น ผู้บริหารแม้อายุ 65 ปีก็เปลี่ยนแปลงไปน้อยมาก ที่บริษัทเบิร์กชัวร์ แฮทธาเวย์เรามีผู้บริหารทั้งสิ้น 40 ท่าน ไม่ปรากฏมีผู้ใดลาออกจากเบิร์กชัวร์ แฮทธาเวย์แม่แต่คนเดียวนับตั้งแต่ปี 1965 เป็นต้นมา ถ้าผมสั่งให้ ลู ซิมพ์สัน ต้องมาถึงที่ทำงาน 9 โมงเข้าและให้เวลา 1 ชั่วโมงสำหรับอาหารมื้อเที่ยง เขาจะลาออกแน่ ผมไม่จำเป็นต้องตรวจสอบค้นหาผู้บริหารที่สามารถทำคะแนนเต็ม 10 ทุกๆคนที่มีอยู่ทั้งหมดหรอก แค่ตรวจให้แน่ใจว่าบริษัทที่เราตัดสินใจเข้าลงทุนมีผู้บริหารที่ทำคะแนะได้เต็ม 10 เป็นพอ

มาเชียเวลลี่ กล่าวไว้ว่า คนเราสามารถทำตัวให้เป็นที่หวาดเกรงและเป็นที่รักก็ได้ แต่บางคนอาจชอบที่จะทำให้ผู้คนหวาดเกรงเขามากกว่าทำให้ผู้คนรักเขา ท่านเห็นด้วยกับคำกล่าวเช่นนี้หรือไม่ เคยมีสถานะการณ์ที่บีบบังคับให้ท่านต้องทำตัวให้ผู้คนเกรงกลัวท่านมากกว่ารักท่านหรือไม่

ผมไม่เชื่อว่าการเป็นผู้จัดการแล้วต้องทำให้ผู้คนหวาดเกรง เบน แกรม ดอน คีออฟ และบิดาของผมเป็นบุคคลผู้ที่ไม่เคยที่จะทำให้คนสนองตอบความประสงค์ของตนด้วยความหวาดเกรง ในบางอุตสาหกรรมอาจมีแนวโน้มจะเป็นเช่นนั้น - ผู้ควบคุมกลุ่มคนที่ต้องทำงานเป็นทีมอาจต้องใช้วิธีนี้ แต่เพียงเมื่อคุณหันหลังและไม่อยู่กับพวกเขาเหล่านี้.... ผมไม่จัดการแบบนั้น ผมไม่ชอบการใช้ชีวิตอย่างนี้ น่าจะมีบางสถานะการณ์ที่จำเป็นต้องใช้วิธีนี้ ตำรวจจะใช้วิธีนี้ ผมเชื่อว่าแรงผลักดันที่มีพลังมหาศาลที่สุดคือ ความรัก และนั่นเป็นวิธีการที่ได้ผลมากที่สุดสำหรับการอยู่ร่วมกับมนุษย์ ผมไม่ประสงค์ที่จะดำเนินชีวิตในแบบที่ต้องทำให้ผู้คนเกรงกลัวในตัวผม ภายใต้ความหวาดเกรงคนจะทำงานได้ไม่ดี ในบางสถานะการณ์ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นอย่างแน่นอนคือความสูญเสียของทั้งสองฝ่าย แต่เราไม่ใช้วิธีนี้ที่ เบิร์กชัวร์ แฮทธาเวย์ เราใช้ความรักในการจัดการบริหาร แล้วมาเชียเวลลี่ทำอย่างไรล่ะ 500 ปีต่อมาไม่ได้มีศาสนาของมาเชียเวลลี่ หรือว่ามีอยู่

บางครั้งเราเรียนรู้จากความล้มเหลวได้มากกว่าความสำเร็จของเราเอง ท่านมองว่าอะไรเป็นความผิดพลาดหรือล้มเหลวอย่างมหันด์ที่สุดของท่าน

ผมเคยล้มเหลวมาเยอะแยะไปหมดแต่ในเรื่องของการอยู่เฉยๆไม่ยอมลงมือมากกว่าการลงมือกระทำ มีหลายๆบริษัทที่ผมเข้าใจ โดยมีไม่กี่บริษัทโดยเฉพาะ 2 บริษัทที่ทำให้เสียโอกาสไปตั้ง 1 หมื่นล้านเหรียญ หากมีธุรกิจที่เสนอขายในราคาถูกและผมไม่ยอมซื้อ อย่างนี้ผมถือเป็นความล้มเหลว อย่างที่ชาร์ลีมักพูดว่า ผมมัวแต่อมมือดูบริษัทนั้น ผมเคยซื้อบริษัท Dexter Shoe ซึ่งถือเป็นการตัดสินใจที่น่าหวาดเสียว ผมลงทุนซึ้อ 400 ล้านเหรียญ แต่ข้อผิดพลาดก็คือผมดันไปขายบริษัทนี้ทิ้งไปและถึงตอนนี้มูลค่าบริษัทนี้สูงถึง 3 พันล้านเหรียญ
คุณจะต้องทำผิดพลาด เป็นไปไม่ได้ที่คุณเข้าตลาดหุ้นโดยไม่เคยทำความผิดพลาด ผมไม่เคยกลับไปนึกถึงมันอีกเลย ผมก็เพียงแต่เดินหน้าต่อไป ความผิดพลาดทางธุรกิจส่วนใหญ่ทำให้เกิดความถดถอยชนิดที่ไม่สามรถทำให้กลับคืนปกติได้ แต่คุณก็ยังมีโอกาสแก้ตัวอีก ในชีวิตคนเรามีสองเรื่องที่คุณไม่มีโอกาสแก้ตัวอีกเลย - แต่งงานผิดคนและสิ่งที่คุณกระทำไว้กับลูก สำหรับธุรกิจคุณเพียงแต่แค่ต้องเดินหน้าต่อไป เป็นเรื่องไม่ถูกต้องที่จะไปมัวจมปลักอยู่กับความผิดพลาดต่างๆ เป็นสิ่งที่ไม่ได้ก่อให้เกิดผลดีใดๆเลย อย่างเดียวกับเรื่องที่แต่งโดยมาร์ค ทะเวนเกี่ยวกับแมวที่นั่งบนเตาไฟร้อนๆ - แมวตัวนี้ไม่เคยกลับไปนั่งบนเตาร้อนอีกเลย แต่แมวดังกล่าวก็ไม่เคยไปนั่งบนเตาที่เย็นเช่นกัน

เมื่อพูดถึงคุณค่าและศีลธรรม ไม่ทราบว่ามีความเกี่ยวข้องกันระหว่างศีลธรรมกับผู้ที่ท่านจะหยิบยื่นเงินให้ไหมและเพราะเหตุใด

ชาร์ลีและผมเคยไปเพื่อไปดูบริษัทผลิตบุหรี่แบบเคี้ยวที่เมืองเมมฟิส ในที่สุดเราตัดสินใจว่าไม่อยากซื้อลงทุนเพื่อเป็นเจ้าของบริษัทดังกล่าวทั้งหมด เราจะซื้อหุ้นบริษัทผลิตบุหรี่ แต่เราไม่ต้องการซึ้อเพื่อเข้าเป็นเจ้าของ

ตัวอย่างที่ดีอันหนึ่งเกี่ยวกับบริษัทที่เป็นที่ชื่นชอบของชาร์ลี คือ บริษัท Costco ซึ่งเป็นบริษัทจัดจำหน่ายบุหรี่เป็นอันดับที่ 3 ของอเมริกา คุณต้องอดใจไม่ไหวที่จะซื้อบริษัทนี้ด้วยเหตุผลนี้ ปรัชญาของเราก็คือเป็นไปไม่ได้ที่เราจะสามารถจัดอันดับหุ้นที่น่าซื้อขายในตลาดหุ้นได้ แต่เราจะซื้อหุ้นต่างๆที่ปลอดจากปัญหาใดๆ อย่างไรก็ตามเราจะไม่ลงทุนในธุรกิจบางกลุ่มผมเห็นว่าแหล่งผลิตพลังงานควรหันไปใช้พลังนิวเคลียร์ เพราะเป็นพลังงานที่สะอาด ถูกและปลอดภัย ถ่านหินเป็นตัวการก่อมลภาวะ อย่างไรก็ตามบริษัทเหล่านี้ถือได้ว่าเป็นบริษัทที่ดี เป็นไปไม่ได้ที่จะจัดอันดับหุ้นที่เหมาะสมสำหรับลงทุนโดยใช้หลักของศีลธรรมมาเป็นเกณฑ์กำหนด เบิร์กชัวร์ แฮทธาเวย์เคยซื้อและจะยังคงซื้อหุ้นที่มีการซื้อขายกันในตลาด แต่จะไม่ซื้อบริษัทต่างๆที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมบางอย่าง PetroChina เป็นเจ้าของแหล่งน้ำมันในประเทศซูดานสูงถึง 40% ของปริมาณที่รัฐบาลเป็นเจ้าของอยู่ ถ้าจีนไม่ซื้อไว้ คนอื่นก็ต้องซื้อ ในทำนองเดียวกันพึงระลึกไว้ด้วยว่า ถ้าจีนไม่ซื้อก็เป็นไปได้เช่นกันที่ประเทศซูดานเองก็จะเป็นเจ้าของทั้งหมด 100% ซึ่งก็เป็นเรื่องไม่เข้าท่าเช่นกัน
ผมเห็นว่ามันเป็นเรื่องตลกที่ผู้คนในประเทศเสียเวลาไปกับการประท้วงต่อต้านบริษัท PetroChinaที่เข้าไปเป็นเจ้าของน้ำมันของชาวซูดาน แต่ผู้คนกลุ่มนี้เดียวกันนี้กลับละลยไม่ประท้วงต่อต้านการนำเข้าสินค้าจากประเทศจีนที่มีมูลค่าสูง 3 แสนล้านเหรียญหรือกว่านั้น อย่างไรก็ตาม พวกเขากลับต่อต้านการลงทุนจากบริษัทต่างๆของจีน

นอกเหนือไปจากต้องพิจารณาถึงชนิดของผู้บริหารแล้วเมื่อท่านตรวจสอบงบการเงินแล้วมักพบว่าท่านตัดสินใจซื้อค่อนข้างเร็วมาก ในส่วนของข้อมูลงบการเงินและลักษณะของธุรกิจโดยรวมท่านพิจารณาปัจจัยต่างๆอะไรอีกบ้าง

ท่านบัฟเฟตต์:พวกเราตัดสินใจซื้อหุ้นหรือกิจการต่างๆรวดเร็วมากก็เนื่องด้วยเราใช้เครื่องกรองเป็นลำดับจวบจนกระทั่งขั้นตอนตัดสินใจ

เครื่องกรองลำดับที่ 1 - เราสามารถทำความเข้าใจบริษัทได้หรือไม่ เรามองไปข้างหน้าว่าอีก 10-20 ปีข้างหน้าจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร ลองพิจารณาจากบริษัท Intel เทียบกับ หมากฝรั่ง หรือ กระดาษชำระ เราจำกัดการลงทุนไว้กับบริษัทที่เรามีความถนัด Jacob's Pharmacy ผลิตโค๊กเป็นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1886 พบว่าปริมาณการบริโภคโค๊กต่อหัวเพื่อขึ้นทุกปีนับแต่เริ่มการผลิตครั้งแรกเป็นต้นมา ทั้งนี้เพราะไม่มีต่อมความจำรสชาติของโซดาในช่องปาก คุณไม่มีทางเจ็บไข้ได้ป่วยแน่เพราะการดื่มโค๊ก เทียบการดื่มครั้งที่ 1 กับครั้งที่ 5 ภายในวันเดียวกับพบว่ามีความอร่อยพอๆกัน

เครื่องกรองลำดับที่ 2 - ธุรกิจมีข้อได้เปรียบทางการแข่งขันที่คงทนถาวรหรือไม่ นี่เป็นเหตุผลที่ผมจะไม่ลงทุนในธุรกิจ ห่วง hula-hoop, รูปสัตว์ สลักหิน(pet rock) หรือ Rubik's cube company ผมจะซื้อบริษัทเครื่องดื่มและหมากฝรั่งสำหรับขบเคี้ยว

เครื่องกรองลำดับที่ 3 - ผู้บริหารเป็นที่น่าเชื่อถือไว้วางใจหรือเปล่า

เครื่องกรองลำดับที่ 4 - ราคาดูแล้วเข้าท่าไม่แพงหรือเปล่า

นับตั้งแต่ปี 1972 เป็นต้นมาเราไม่เคยได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธทางการตลาดหรือขบวนการผลิต ฯลฯ เลย โดยดูจากตัวอย่างของ See's candy เป็นไปไม่ได้ที่คุณจะทำลายตราสินค้าของ See's Candy ให้เสื่อมถอยจากความนิยมลงได้ คุณต้องมองว่าตราสินค้าเป็นเสมือนคำสัญญาที่มอบให้กับลูกค้าว่าเราจะนำเสนอสินค้าที่มีคุณภาพและบริการอย่างที่ลูกค้าคาดหวังไว้ เราเชื่อมโยงสินค้าให้เกี่ยวข้องอยู่กับความสุข คุณไม่มีทางได้พบว่า See's Candy เป็นผู้สนับสนุนส่งเสริมสถานที่ฌาปนกิจศพ แต่เราสนับสนุนการเดินพาเหรดในวันขอบคุณพระเจ้า