วันอาทิตย์, มกราคม ๓๐, ๒๕๔๘

ภูมิความรู้สำหรับผู้ต้องการลงทุนในตลาดหุ้น

แปลเรียบเรียงจาก Going Into Wall Street โดย John Train



บ่อยครั้งที่ผมมักถูกถามถึงเรื่องของภูมิความรู้ที่ดีที่สุดสำหรับธุรกิจด้านการลงทุน หากจะเริ่มต้นจากอะไรนั้น ผมเชื่อมั่นว่ามันไม่ใช่ : เรียนเมเจอร์เศรษฐศาสตร์แล้วตรงดิ่งเข้าวอลล์สตรีตเลย ซึ่งก็เป็นเหมือนกับว่าแนะนำผู้ซึ่งมีความปรารถนาแรงกล้าอยากจะเป็นนักประพันธ์ว่าควรจะเข้าเรียนในโรงเรียนด้านการประพันธ์แล้วเริ่มต้นเขียนหนังสือได้เลย หรือ ผู้ที่ต้องการเป็นนักบุญควรศึกษาวิชาศาสนศาสตร์จบแล้วก็มุ่งเข้าทำงานด้านบริหารโบสถ์ หรือ การจะเป็นคัสสโนว่าอีกสักคนควรเริ่มต้นเรียนด้านกายวิภาคศาสตร์จนได้ปริญญาเอก ในเรื่องราวทั้งมวลเหล่านี้เราต้องเข้าใจเป็นเบื้องต้นก่อนว่าในโลกนี้มีประสบการณ์ภาคปฏิบัติอยู่ คุณลงทุนลงแรงหาประสบการณ์ในเรื่องที่เกี่ยวกับการทำงานของคนอย่างใดอย่างหนึ่งก่อน - ได้แก่ การผลิตสินค้า, ธุรกิจค้าปลีก,การธนาคาร, เทคโนโลยี่ - ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับการคิดค้นหาทฤษฎีต่างๆขึ้นจากคาดเดาประมาณการสิ่งต่างๆ

และวิชาเศรษฐศาสตร์เปรียบเสมือนการพยากรณ์อากาศในช่วงเปลี่ยนศตวรรษที่ผ่านมา ซึ่งยังคงเป็นแค่วิทยาศาสตร์ยุคโบราณต้นๆเท่านั้นเอง มันอาจจะกลายเป็นวิทยาศาสตร์จริงๆก็ได้ในไม่ช้า แต่ก็ยังไม่สามารถผ่านการพิสูจน์ที่สำคัญแห่งความเป็นวิทยาศาสตร์ นั่นก็คือ มันยังไม่สามารถใช้เป็นเครื่องมือสำหรับการพยากรณ์ที่ดีได้ คำถามพื้นๆต่างๆมากมายยังคงสร้างความงุนงงแก่ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญทั้งหลาย ไม่เคยมีผู้ใดแม้แต่คนเดียวที่ได้พยากรณ์ไว้ว่าจะเกิดความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจอย่างมากในยุคสมัยประธานาธิบดีเรแกน ซึ่งเป็นช่วงที่อุตสาหกรรมเติบโตในปริมาณเท่ากับระบบเศรษฐกิจของประเทศเยอรมันตะวันตกทั้งหมดและอีกสามเท่าของตลาดหุ้น ดูเหมือนว่าไม่มีผู้ใดสามารถพยากรณ์ราคาของทองคำได้ หรือค่าเงินเย็นที่แข็งขึ้นจะก่อผลเช่นใดต่อการค้าของสหรัฐกับญี่ปุ่น ข้อมูลทางเศรษฐกิจของสหรัฐยังมีความคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ได้แก่ อัตราผู้ว่างงาน ความยากจน ผู้คนที่ไร้ที่อยู่อาศัย และการขาดดุลด้านงบประมาณของประเทศ จอร์จ โซรอส ผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นนักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคปัจจุบัน ก็เป็นผู้หนึ่งที่ได้ร่ำเรียนมาเพื่อเป็นนักเศรษฐศาสตร์แต่เขากลับแสดงความเห็นว่า ความรู้ด้านเศรษฐศาสตร์แบบคลาสสิกไม่สามารถอธิบายเรื่องของตลาดหุ้นได้ วอรเร็น บัฟเฟต ผู้ยิ่งใหญ่อีกท่านหนึ่งทางด้านการลงทุน เป็นผู้ที่ไม่เพียงแต่จะไม่สนใจสูตรสมการด้านเศรษฐศาสตร์ใดๆเลย มิหนำซ้ำยังอีกกล่าวว่าเขายังไม่เคยใช้แม้แต่เครื่องคิดเลขเลย เขาค้นคว้าตรวจสอบบริษัทต่างๆ โดยเริ่มที่บุคคลากรและความมั่นคงของลักษณะเฉพาะของบริษัท หรือ ที่เรียกว่า "สิทธิพิเศษของธุรกิจ" เมื่อตอนที่ผมถาม ปีเตอร์ ลินช์ ซึ่งเป็นบุคคลมีอันดับด้านการลงทุนผู้หนึ่งเช่นกันว่า เขาใช้เวลาเท่าใดค้นคว้าศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์ หลังหยุดคิดสักพักเขาตอบว่า "น้อยกว่า 15 นาที ต่อปี" ดังนั้นวิชาเศรษฐศาสตร์จึงไม่ได้เป็นภูมิความรู้ที่มีประโยชน์ต่อผู้ที่ต้องการเข้าทำงานในวอลล์สตรีต

เหนืออื่นสิ่งใดการจะประสบความสำเร็จในด้านการลงทุนต้องอาศัยความรู้ด้านธุรกิจ อันประกอบไปด้วยความสามารถในด้านการอ่านและประเมินตัวเลขที่เป็นภาษาของธุรกิจ(งบดุล,กำไรขาดทุน,กระแสเงินสด);ความเข้าใจการทำงานของมนุษย์;การวิเคราะห์ตัดสินใจทั้งแนวกว้างและลึกของกิจการโดยรวม เกือบกล่าวได้ว่ามันเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีประสบการณ์ส่วนตัวทางด้านการทำธุรกิจมาบ้าง ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการลงทุน การมีหุ้นในบริษัทเท่ากับคุณเป็นหุ้นส่วนเล็กๆอยู่ในบริษัท หากเป็นไปได้ในทางอุดมคติแล้วคุณควรได้ทำงานใกล้ชิดกับระดับผู้บริหารผู้ทำหน้าทีเกี่ยวกับการตัดสินใจในบริษัท, แต่อย่างน้อยที่สุดคุณควรได้มีประสบการณ์ทางปฏิบัติในโลกธุรกิจจริง การได้ทำงานกับบริษัทที่ปรึกษาด้านการจัดการเป็นภูมิความรู้ที่น่าสนใจ เพราะจะได้ทำให้คุณมีโอกาสลงสู่สนามจริงในกิจกรรมด้านต่างๆ เหนืออื่นสิ่งใดเนื่องจากวิธีการส่วนใหญ่มักไม่สัมฤทธิ์ผล คุณก็จะมีโอกาสได้เรียนรู้ว่าปัญหาวกวนอย่างไร(หากไม่มีปัญหาบริษัทก็ไม่น่าจะเรียกหาบริการจากบริษัทที่ปรึกษา) ดังนั้นคุณจะมีโอกาสได้เห็นปัญหาต่างๆนานาในเวลาอันสั้นเหมือนกันกับการแพทย์ในสมรภูมิสงคราม ผมได้รวบรวมบทย่อของความโง่เขล่าต่างๆไว้ในหนังสือของผมที่ชื่อ Famous Financial Fiascos
____________________________________

ผมขอร่วมแสดงความเห็นกับเบนจามิน เกรแฮม ในเรื่องความกระตือรือล้นในการหาแหล่งภูมิปัญญาทั่วไปจากเรื่องคลาสสิกของกรีกและโรมัน

_____________________________________

ทั้งสองลงไว้ในนิตยสาร Harvard Magazine) ถ้าให้เลือกจ้างผู้สมัครงานระหว่างผู้ที่เคยทำงานที่แมคเคนซี่ หรือ อาร์เธอร์ ดี. ลิตเติ้ลนาน 4 ปี กับผู้ที่จบดอกเตอร์ด้านเศรษฐศาสตร์ ผมมีความโน้มเอียงที่จะเลือกคนแรก และเป็นความโน้มเอียงอย่างมากเสียด้วยด้วย และคำถามเกี่ยวกับโรงเรียนธุรกิจล่ะ ? น่าจะช่วยได้ดีในการทำธุรกิจ โดยเฉพาะหากมีโอกาสทำงานหาประสบการณ์จากข้างนอกสัก 2-3 ปี แต่ทว่าจากผลสำรวจที่ผมมีอยู่พบว่าวิธีการนี้ไม่ได้เป็นขั้นตอนที่มีประสิทธิภาพในอันที่สร้างอาชีพในตลาดหุ้นวอลล์สตรีตได้ดี


เพื่อที่จะให้ได้มาซึ่งวิธีการใช้วิจารณาญานประเมินผลกิจการแบบกว้างๆ ผมได้ร่วมแสดงความคิดเห็นกับ เบนจามิน เกรแฮม ผู้ริเริ่มก่อตั้งอาชีพการวิเคราะห์หลักทรัพย์ ในเรื่องเกี่ยวกับความกระตือรือล้นในการเรียนรู้เรื่องคลาสสิกของกรีกและโรมันซึ่งเป็นแหล่งภูมิปัญญาทั่วไป ในการสำรวจปี 1990 เพื่อสอบถามเจ้าหน้าที่ผู้ทำธุรกิจการคัดสรรบุคคลเข้าทำงานของอังกฤษพบว่า การศึกษาเรื่องคลาสสิกต่างๆจะช่วยให้เกิดพัฒนาการด้านต่างๆ ได้แก่ ทำให้สติปัญญาแข็งแกร่งขึ้น ทักษะด้านการสื่อสาร ทักษะด้านการวิเคราะห์ ความสามารถในการศึกษาตรวจสอบข้อมูลที่สลับซับซ้อนต่างๆ และเหนืออื่นสิ่งใด ก็คือ การมีมุมมองที่กว้างไกลแบบที่หาได้ยากจากการศึกษาในวิชาการด้านอื่นๆ "การค่อยๆศึกษาตำราต้นฉบับแบบคำต่อคำจะช่วยทำให้สติปัญญาแหลมคมขึ้น" คุณจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือฉ้อฉนได้เหมือนกับที่คุณทำได้กับการศึกษาด้านศิลปศาสตร์ต่างๆ คุณจะถูกบังคับให้ต้องเข้าใจเนื้อหาของเรื่องซึ่งโดยเนื้อแท้แล้วยังจะทำให้คุณบรรลุถึงความรู้แจ้งเห็นจริงด้วย สำหรับธูซีไดดส์แล้วโดยมาตรฐานยุคใหม่อาจเป็นหรือไม่ได้เป็นนักประวัติศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่ถ้าหากคุณได้ศึกษาแต่ละหน้าของหนังสือที่น่าสนใจของเขาให้เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วจะทำให้คุณเข้าใจมากกว่าผู้อื่นในเรื่องเกี่ยวกับโลกที่ยิ่งใหญ่รวมไปถึง นาโต้ ว่าดำเนินงานอย่างไร และหนังสือเล่มที่ 8 ของพลาโต้ ที่ชื่อ รีพับพลิก จะให้ความรู้ความเข้าใจที่แจ่มแจ้งที่จะขาดเสียมิได้ว่าระบบปกครองแบบเผด็จเบ็ดเสร็จมีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นระบบประชาธิปไตยอย่างไร และจากนั้นมีการแยกแตกแขนงออกไปเป็นระบบเผด็จการ สิ่งต่างๆเหล่านี้ไม่ค่อยได้มีการเปลี่ยนไปมากนัก

ดูแล้วจะเห็นว่ามีการยัดเยียดสิ่งที่เป็นเสมือนขยะในปริมาณที่เกินพอดีไว้ในเรื่องของการลงทุน เฉกเช่นในวิชา รัฐศาสตร์ ศาสนา และการแพทย์ ผู้คนต้องการและมีความเชื่ออย่างสุดๆว่ามีทางลัดและวิธีแก้ปัญหาอย่างง่าย ในวงการที่กล่าวมาข้างต้นจะมีผู้เชี่ยวชาญแต่ละวงการดังกล่าวจำนวนมากที่ให้ความสนใจอย่างยิ่งที่จะคอยกล่าวเตือนและชักชวนท่านให้ว่าจ้างเขาเหล่านี้เพื่อเข้าไปจัดการแก้ไขข้อบกพร่องให้ถูกต้อง ความเสี่ยงทางด้านเศรษฐกิจ ความไม่แน่นอนทางการเมือง ความบกพร่องทางศีลธรรม อันตรายทางการแพทย์....... หากหนังสือพิมพ์ฉบับต่างๆลงข่าวสะท้อนแต่ความเป็นจริงล้วนๆย่อมเป็นการยากที่จะขายหนังสือพิมพ์ฉบับดังกล่าวได้ และสิ่งต่างๆเช่นนี้เปลี่ยนแปลงไปน้อยมาก นั่นก็คือไม่เป็นทั้งเรื่องของการหมดสิ้นความหวัง หรือ การมีข้อสัญญาที่เป็นความหวังที่จะมีปรากฏออกเป็นข่าววันต่อวัน วิธีที่ดีที่สุดเพิ่อให้ได้รับรู้กับความรู้สึกต่างๆก็โดยเข้าไปร่วมอยู่ในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ในเรื่องของประวัติศาสตร์ที่เป็นทั้งเรื่องของสติปัญญาความรู้และสังคม

ความคิดความเห็นของบุคคลสำคัญของโลกก็เป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องศึกษาได้แก่ แฟรงคลิน ซุนซู มอนเตกน์ นโปเลียน โดยเฉพาะในเรื่องความเห็นขัดแย้งของท่านเหล่านี้ต่อรัฐบาลหรือนักการเมืองเป็นเรื่องที่ต้องศึกษาอย่างละเอียดถี่ถ้วน โดยท่านเหล่านี้ตั้งข้อสังเกตว่าวิธีการสร้างนักการเมืองแบบที่เลวร้ายที่สุดก็คือวิชารัฐศาสตร์การปกครองนั่นเอง เขาเหล่านี้ควรเริ่มต้นศึกษาเรื่องราววิชาการต่างที่ให้มุมมองที่กว้างขวาง มิเช่นนั้นแล้วคุณค่าของคนเหล่านี้จะมีเพียงเล็กน้อย เรื่องนี้ก็เป็นเช่นเดียวกับกลยุทธในการลงทุนซึ่งเป็นรูปแบบของเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต คุณจำเป็นที่จะต้องจดจำรูปแบบต่างๆที่อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงทีเกิดขึ้นในโลกและต้องมีความสามารถที่จะประเมินวิเคราะห์ด้วยสายตาอันเฉียบแหลมเกี่ยวกับความกระตีอรือล้นที่ก่อตัวขึ้นภายในวงการลงทุน หลังจากที่คุณได้ศึกษาพื้นความรู้ในแนวกว้างต่างๆแล้ว คุณจะใช้เวลาไม่มากนักในอันที่จะทำความเข้าใจรายละเอียดต่างๆเกี่ยวกับวิธีสำหรับการลงทุนในภายหลัง มันเป็นการยากที่จะเรียนรู้ด้วยแนวทางอย่างอื่น (ในเรื่องเดียวกันนี้ ในหนังสือรีพับพลิก เล่มที่ 9 ได้แนะนำให้เรียนรู้เกี่ยวกับธุรกิจหลังจากได้ศึกษาเรียนรู้ด้านศิลปศาสตร์แล้ว)

ในเรื่องที่เกี่ยวกับการเตรียมตัวซึ่งมีการสอบถามกันมากทีเดียว แล้วคุณจะไปทำงานที่ไหนดีล่ะ ? ตัวอย่างเช่น ลูกๆของเพื่อนและลูกค้าของผมมักเข้าพบเพื่อถามความเห็นว่าเขาควรจะหางานทำที่ไหนดีระหว่าง โกลด์แมนแซค หรือ มอร์แกน การันตี ผมมักจะตอบกับพวกเขาว่า พวกเขาต้องตั้งคำถามกับตนเองก่อนว่ามีความชื่นชอบในเรื่องโลกของการเงินหรือเปล่า

ผู้คนแต่ละคนมีความนึกคิดแตกต่างๆกันไปหลายแบบ: เช่น บางคนเป็นพวกควบคุมกำกับวัตถุสิ่งของ บางคนเป็นพวกควบคุมกำกับแนวความคิดของผู้อื่น บางคนเป็นผู้นำ คือ เป็นพวกควบคุมกำกับผู้คน และอื่นๆอีกนานับประการ ถ้าคุณมาจากคลีฟแลนด์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมการผลิตสินค้า คุณมักเป็นจำพวกควบคุมกำกับวัตถุสิ่งของ คุณมักเป็นคนที่เกิดมาในครอบครัวที่มีอุปกรณ์เครื่องมือสำหรับเครื่องจักรกลและเครื่องกลึงและเสียชีวิตไป หากเป็นกรุงวอชิงตันผู้คนมักเป็นคนจำพวกควบคุมกำกับคนไปโดยปริยาย - นั่นคือทำงานในหน่วยงานรัฐบาล ในทางตรงกันข้ามหากเป็นกรุงนิวยอร์ค คนหนุ่มสาวในเมืองนี้มักเป็นคนจำพวกที่มักชอบทำงานเกี่ยวกับการควบคุมกำกับแนวความคิด ซึ่งคนกลุ่มนี้ก็ยังแบ่งย่อยออกเป็นอีก 2 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่ คนที่มีการศึกษา มักชอบทำงานที่เกี่ยวกับการโฆษณา กฤหมาย หนังสือพิมพ์และสิ่งพิมพ์ และอื่นๆ และอีกกลุ่มเป็นพวกที่ชอบในเรื่องของตัวเลข ซึ่งก็จะมีความสุขกับการเข้าทำงานด้านการธนาคารและการเงิน

ฉะนั้นจึงเป็นที่ชัดเจนว่าคนหนุ่มคนสาวชาวนิวยอร์คจำเป็นและควรที่จะเจริญรอยตามคนรุ่นก่อนๆที่ทำไว้ดีแล้ว โดยเข้าทำงานในโลกของธุรกิจการเงินหรือ กฏหมาย คนเหล่านั้นคิดเช่นนั้นเพราะเขาเติบโตมาในเมืองนี้ แต่ว่าความสามารถพิเศษของเขาอาจเป็นอย่างอื่นก็ได้

เพื่อให้เข้าใจทราบซึ้งถืงความสามารถพิเศษของแต่ละคนผมจะพิจารณาที่กิจกรรมพิเศษต่างๆของเขา ถ้าหากคนหนุ่มคนหนึ่งเคยเป็นบรรณาธิการของนิตยสารให้ความรู้ของมหาวิทยาลัย เขาน่าที่จะไม่มีความเข้าใจและเก่งพอในเรื่องเกี่ยวกับตัวเลขจนประสบผลสำเร็จในวิชาชีพด้านการบัญชี แม้ว่ามีความเป็นไปได้ที่เขาจะสามารถทำให้สำเร็จได้แน่นอน ถ้าหากเขาเคยรับตำแหน่งประธานสภานักเรียนมาก่อน มันก็จะเป็นการบ่งบอกบางสิ่งบางอย่างได้ ดังนั้นเพื่อให้ได้แนวคิดที่ชัดเจนว่าคุณมีความสามารถเฉพาะตัวเช่นไร ให้ลองไปทดสอบที่ จอห์นสัน โอ คอนเนอร์ รีเสิร์ช ฟาวน์เดชั่น ซึ่งคุณก็จะมีโอกาสทดสอบตามขั้นตอนต่างๆ วิธีนี้อาจจะเป็นเพียงวิธีช่วยยืนยันในสิ่งที่ตัวคุณหรือครอบคุณเคยคาดการณ์เอาก่อนหน้านั้น ซึ่งถือได้ว่าเป็นสิ่งที่มีค่า เช่น เพื่อให้ทราบโดย แน่ชัดไม่มากก็น้อยว่าคุณอยู่ในกลุ่มคน10 อันดับแรกของคนอเมริกันที่มีความสามารถพิเศษเฉพาะด้านการแสดงออกด้านภาษา แต่อยู่ในอับดับรั้งท้ายในด้านเลขคณิต___ หรือ สลับข้างกัน

คุณอาจรู้และเข้าใจถึงจุดแข็งของคุณเป็นอย่างดี แต่ว่ามีคนเพียงไม่กี่คนของประชากรทั้งหมดที่คาดหวังได้ว่าจะประสบผลสำเร็จอย่างแท้จริงในด้านการลงทุนในตลาดหุ้นวอลล์สตรีต และน่าจะเป็นการดีกว่าที่คุณได้แนวคิดเกี่ยวกับอนาคตของคุณเสียก่อนที่จะเริ่มต้นเอาจริงเอาจัง แทนที่จะมุ่งตรงเข้าเรียนรู้โดยที่ต้องเผชิญกับความทุกข์ใจกับการต้องเข้าออกงานบ่อยๆในอาชีพเป็นเวลานาน 8 ปี โดยเฉพาะในช่วงที่ภาวะตลาดตกต่ำหดตัว ยิ่งไปกว่านั้นยังมีสิ่งที่สำคัญกว่าเรื่องของพื้นฐานความรู้ของคุณเองและประสบการณ์แต่เนิ่นๆก่อนที่จะเข้าสู่งานด้านการลงทุน นั่นก็คือ การทบทวนอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอว่าคุณรู้จักตัวคุณดีแล้ว

______________________