วันเสาร์, พฤศจิกายน ๑๐, ๒๕๕๐

คุณอยากเป็น วอร์เร็น บัฟเฟตต์คนต่อไปใช่ไหม ? คุณเขียนสื่อสารกับผู้อื่นได้เรื่องหรือเปล่า ?

โดย มาร์ค เซลเลอร์ส

ก่อนอื่นผมอยากขอบคุณ แดเนียล โกลเบอร์ก ที่เชิญผมมาที่นี่รวมทั้งทุกท่านที่ตั้งใจเข้ามาร่วมฟังการบรรยายของผม เป็นเวลานานพอควรผมไม่ได้มาบอสตัน แต่ผมเคยอยู่ที่นี่แค่ช่วงสั้นๆในระหว่างปี 1991และ 1992 ซึ่งเป็นช่วงที่ผมเข้าเรียนที่ โรงเรียนดนตรีเบอร์คลี่ (Berklee School of Music) ผมเรียนก็เพื่อจะเป็นนักเล่นเปียโนแจ๊สแต่ก็ลาออกกลางครันหลังจากเรียนได้ 2 เทอมแล้วย้ายไปลอสแองเจลลิสและเข้าร่วมวงดนตรีวงหนึ่ง ตอนอยู่ที่นี่ผมถังแตกมากถึงขนาดว่าไม่มีโอกาสได้ใช้ข้อได้เปรียบใดๆที่เป็นประโยชน์เพื่อทำโน้นทำนี่ในบอสตันเลย แม้แต่รถสำหรับใช้ขับท่องเที่ยวนิวอิงแลนด์ผมก็ยังไม่มี ส่วนใหญ่ผมจะใช้เวลาวันละ 10-12 ชั่วโมงจับเจ่าอยู่แต่ในห้องซ้อมคนตรีเพื่อฝึกฝนเล่นเปียโน ดังนั้นคราใดที่ผมกลับมาบอสตันจึงเสมือนว่าผมเป็นคนต่างถิ่นผู้ไม่เคยมาเมืองนี้แต่ก่อนเลย

สิ่งหนึ่งที่ผมไม่รั้งรอที่จะบอกแก่ทุกท่าน ก็คือ ผมมาที่นี่ก็ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อจะแนะนำหรือสอนคุณว่าต้องทำอย่างไรจึงจะเป็นนักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่ได้ ในทางตรงกันข้ามผมมาเพียงเพื่อจะบอกว่าเหตุใดจึงมีพวกท่านเพียงไม่กี่คนซึ่งน้อยมากๆที่จะสามารถก้าวสู่ความสำเร็จในระดับเดียวกับสถานะภาพของนักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่ได้

หากท่านทุ่มเทเวลาเพื่อศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับนักลงทุนเหล่านี้อย่างเพียงพอแล้ว ได้แก่ ชาร์ลี มังเกอร์, วอร์เร็น บัฟเฟตต์, บรู๊ซ เบอร์โควิตซ์, บิล มิลเลอร์, เอ็ดดี้ แลมเพิร์ต, บิล แอกค์เแมน, และ คนอื่นๆที่ได้ประสบความสำเร็จในโลกของการลงทุน ท่านก็จะเข้าใจว่าผมหมายความเช่นใด


ผมทราบดีว่าทุกท่านในห้องนี้เป็นผู้ที่มีระดับสติปัญญาสูงส่งมากและท่านก็ได้ทำงานมาอย่างหนักเพื่อทำให้ตนเองสามารถสอบผ่านเข้ามาเรียนในสถาบันแห่งนี้ได้ ทุกท่านเป็นผู้ที่มีความปราดเปรื่องที่สุดในบรรดาผู้ปราดเปรื่องทั้งหลาย และถึงกระนั้นก็ตามยังมีเรื่องสำคัญอย่างหนึ่งที่ทุกท่านควรจดจำเอาไว้แม้นว่าท่านจะจดจำสิ่งที่ผมกล่าวไปในวันนี้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย นั่นก็คือ แทบเป็นไปไม่ได้เลยว่าพวกท่านทุกคนจะมีโอกาสก้าวขึ้นสู่การเป็นนักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่ได้ จริงๆแล้วมีความเป็นไปได้ในระดับต่ำเอามากทีเดียว คือประมาณ 2% หรือ น้อยกว่านั้น และผมขอบอกกล่าวข้อเท็จจริงอีกอย่างว่าท่านทั้งหลายมีไอคิวสูงและเป็นผู้ที่บากบั่นทำงานหนักและจะได้รับปริญญา เอ็มบีเอ จากสถาบันการศึกษาทางธุรกิจที่จัดว่าอยู่ในระดับต้นๆของประเทศในเวลาอันใกล้นี้ สมมุติว่าผู้เข้าร่วมประชุมทุกคนวันนี้เป็นกลุ่มตัวอย่างทั้งหมดของประชากรของประเทศจริงๆที่ถูกสุ่มให้มาเข้าร่วมประชุมในวันนี้ โอกาสที่ใครคนใดคนหนึ่งในที่นี้จะกลายไปเป็นนักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่ในภายภาคหน้าก็ยิ่งจะต่ำลงไปกว่าที่พูดแต่แรกเข้าไปใหญ่ นั่นคือ ราว 1 ใน 50 ของ 1% หรือประมาณนั้น พวกท่านทั้งหลายมีข้อได้เปรียบมากมายที่เหนือกว่า นักลงทุนที่ชื่อโจ และกระนั้นก็ตามท่านก็ยังแทบไม่มีโอกาสที่จะโดดเด่นกว่าฝูงชนทั่วไปได้เป็นระยะเวลานานๆ

และเหตุผลก็คือ เรื่องนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับระดับไอคิวของคุณว่าสูงแค่ไหน หรือ คุณได้อ่านหนังสือ หรือ นิตยสาร หรือ หนังสือพิมพ์ มาแล้วจำนวนทั้งหมดกี่เล่ม หรือ ว่าคุณมีประสบการณ์มากน้อยเพียงใด หรือ ต่อไปในภายภาคหน้าที่คุณจะมีประสบการณ์จากการประกอบอาชีพของคุณเพิ่มมากขึ้นเพียงใดก็ตาม สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้หลายคนมีอยู่แล้ว แต่ถึงกระนั้นก็ตามแทบจะไม่มีใครเลยจากบรรดาผู้คนเหล่านี้ที่จะสามารถสร้างผลงานในอัตราทบต้นได้ถึงระดับ 20 %หรือ 25 % ตลอดช่วงเวลาประกอบอาชีพการลงทุนของเขา

ผมทราบดีว่าสิ่งที่ผมพูดมาเป็นประเด็นที่ต้องถูกนำขึ้นมาถกเถียงกันแบบไม่รู้จักจบสิ้น และผมเองไม่ต้องการโต้เถียงกับผู้ใดในที่ประชุมแห่งนี้ แต่อย่างไรก็ตามผมเองก็ไม่ได้กำลังชี้นิ้วเจาะจงลงไปที่ท่านใดท่านหนึ่งเป็นการเฉพาะแล้วบอกว่า "คุณแทบไม่มีโอกาสได้เป็นผู้ยิ่งใหญ่" เชื่อว่าน่าจะมีคนหรือสองคนในห้องนี้ที่จะสามารถทำอัตราทบต้นได้ที่ระดับ 20%ตลอดระยะเวลาที่อยู่ในอาชีพการลงทุนของเขา แต่ก็เป็นเรื่องยากที่จะบอกไว้ล่วงหน้าว่าจะเป็นท่านใดหากผมไม่เคยได้รู้จักกับแต่ละท่านเป็นการส่วนตัวมาก่อน

ถ้ามองในอีกด้านหนึ่งที่สดใส แม้ว่าทุกท่านส่วนใหญ่จะไม่สามารถทบต้นเงินให้ได้ถึงระดับ 20% ตลอดอายุการทำงานของคุณก็ตาม หลายท่านในที่นี้จะต้องประสบความสำเร็จในการเป็นนักลงทุนระดับที่ดีเหนือกว่านักลงทุนๆทั่วไป เพราะทุกท่านเป็นตัวอย่างของกลุ่มหัวกะทิ นั่นคือ เอ็มบีเอจากฮาร์เวิร์ค ใครก็สามารถเรียนรู้ที่จะเป็นนักลงทุนระดับสูงกว่าผู้คนโดยเฉลี่ยทั่วไปได้ คุณสามารถที่จะเรียนรู้เพื่อทำให้ได้ดีในระดับที่สูงพอถ้าหากคุณเป็นผู้มีความเฉลี่ยวฉลาดและทำงานหนักและมีการศึกษาดีพอเพื่อเป้าหมายให้ได้งานดี เงินเดือนสูงในธุรกิจการลงทุนตลอดช่วงชีวิตการทำงานของคุณได้ คุณสามารถทำเงินล้านได้โดยไม่จำเป็นต้องเป็นนักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่ คุณสามารถเรียนรู้เพื่อสร้างผลงานที่สูงกว่าคนอื่นโดยเฉลี่ยทั่วไปในระดับ 2 จุดต่อปีโดยอาศัยการทำงานอย่างหนัก มีไอคิวเกินกว่าค่าเฉลี่ยและการศึกษาค้นคว้าอย่างมากมาย ดังนั้นก็ไม่มีเหตุผลใดๆที่การพูดของผมวันนี้จะเป็นตัวบั่นทอนให้ท่านหมดกำลังใจ คุณสามารถที่จะประกอบอาชีพที่สะพรั่งไปด้วยเงินๆทองๆให้ประสบความสำเร็จได้อย่างแท้จริง แม้ว่าคุณไม่ได้เป็น วอร์เร็น บัฟเฟตต์ คนต่อไปก็ตาม

แต่ว่าคุณจะไม่สามารถสร้างผลตอบแทนแบบทบต้นถึงระดับ 20%ได้ตลอดไปเว้นเสียแต่ว่าสมองคุณจะได้รับการร้อยเรียงผูกโยงถักสานอย่างแน่นหนา(hard-wired )มาตั้งแต่คุณอายุ 10 หรือ 11 หรือ 12 ขวบ ผมไม่แน่ใจว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติหรือเกิดจากการกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูมาแต่อ้อนแต่ออด แต่หากคุณเข้าสู่วัยรุ่นแล้วถ้ายังไม่มีสิ่งนี้เกิดขึ้นในสมองของคุณแล้วคุณก็ไม่สามารถจะทำให้มีขึ้นในภายหลังได้ เมื่อสมองของคุณผ่านขั้นตอนการพัฒนาการช่วงนี้ไปแล้วก็เป็นไปได้ว่าคุณจะมีความสามารถในระดับที่สามารถเคียงบ่าเคียงไหล่กับนักลงทุนอื่นๆได้ หรือ อีกกรณีก็คือทำไม่ได้เลย การเข้าศึกษาต่อที่ฮาเวิร์ดก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งนี้ได้ และการอ่านหนังสือทุกเล่มที่เคยเขียนมาทั้งหมดเกี่ยวการลงทุนก็ไม่สามารถช่วยได้เช่นกัน การมีประสบการณ์มายาวนานหลายปีก็ช่วยไม่ได้เช่นกัน ทั้งนี้สิ่งที่ว่ามาทุกอย่างทั้งหมดดังกล่าวล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งจำเป็นในอันที่จะทำให้คุณก้าวขึ้นสู่การเป็นนักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่ได้ แต่คุณสมบัติเหล่านี้ทั้งหมดก็ยังไม่ถือว่าเพียงพอเพราะผู้เป็นคู่แข่งก็สามารถที่จะลอกเลียนแบบเพื่อทำให้เกิดคุณสมบัติที่ว่ามานี้ได้

ในทำนองเดียวกัน หากลองนึกคิดพิจารณาถึงกลยุทธ์การแข่งขันของบริษัทต่างๆในโลกแล้ว ผมมั่นใจว่าทุกท่านได้ลงเรียนวิชาเกี่ยวกับกลยุทธ์เหล่านี้มาแล้ว หรือวางแผนไว้ว่าจะลงเรียนวิชานี้ในช่วงที่กำลังศึกษาอยู่ ณ สถาบันแห่งนี้ คุณอาจจะเคยศึกษาผลงานวิจัยของไมเคิล พอร์เตอร์และหนังสือที่เขาแต่งไว้ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ผมเคยทำมาก่อนที่จะเข้าเรียนในโรงเรียนธุรกิจ ผมเรียนรู้อย่างมากมายจากการอ่านหนังสือต่างๆของเขาและก็ยังคงใช้ความรู้นี้อยู่เสมอๆเมื่อทำการวิเคราะห์บริษัทต่างๆ

ทีนี้เมื่อคุณก้าวขึ้นเป็น ซีอีโอ ของบริษัทหนึ่ง คุณคิดว่ามีอะไรบ้างที่เป็นความได้เปรียบซึ่งจะช่วยปกป้องบริษัทของคุณไม่ให้ได้รับอันตรายจากคู่แข่งขันได้ แล้วคุณจะขับเคลื่อนบริษัทของคุณอย่างไรเพื่อให้ก้าวสู่ระดับที่คุณสามารถพูดได้เต็มปากว่ามี"คูเมืองทางเศรษฐศาสตร์ล้อมรอบบริษัทอยู่(Economic moat)" ซึ่งบัฟเฟตต์เองเป็นผู้บัญญัติคำนี้ขึ้นมา

อย่างเช่นเทคโนโลยี่นี่ไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นแหล่งของคูเมืองได้เพราะเป็นสิ่งใครก็สามารถลอกเลียนแบบได้ หากสิ่งนี้เป็นข้อได้เปรียบแต่เพียงอย่างเดียวที่คุณมีอยู่ในที่สุดแล้วก็จะมีคนลอกเลียนทำตามและก็จะเป็นเช่นนี้เสมอๆ สิ่งที่คุณจะคาดหวังได้ที่ดีที่สุดหากตกอยู่ในสถานะการณ์อย่างนี้ ก็คือ เสนอให้บริษัทอื่นเข้าซื้อบริษัทของคุณ หรือ จดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชนแล้วขายหุ้นทั้งหมดที่คุณมีอยู่ออกไปก่อนที่นักลงทุนทั้งหลายจะรู้ว่าบริษัทของคุณมีความได้เปรียบแบบไม่ยั่งยืน กล่าวได้ว่าเทคโนโลยี่เป็นข้อได้เปรียบชนิดที่มีอายุขัยสั้น มีอย่างอื่นอีกหลายประการที่ถือเป็นข้อได้เปรียบ ได้แก่ ทีมบริหารที่ดี หรือ แคมเปญการโฆษณาแบบที่ต้องตาต้องใจลูกค้า หรือ เป็นแนวโน้มของเฟชั่นที่มาแรงสุดๆ สิ่งเหล่านี้ถือได้ว่าทำให้เกิดการได้เปรียบแค่ชั่วครั้งชั่วคราวแต่แล้วก็เปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลา หรือเป็นสิ่งที่คู่แข่งขันลอกเลียนแบบได้

เจ้าคูเมืองทางเศรษฐศาสตร์นั้นเกี่ยวโยงกับเรื่องของโครงสร้าง อย่างกับสายการบิน เซาท์เวสต์ ในช่วงทศวรรษ 1990 ซึ่งพบว่ามันฝั่งรากลึกเข้าไปยังเนื้อในของวัฒนธรรมบริษัทตลอดจนพนักงานทุกๆคนในบริษัท จนถึงขั้นที่ว่าบริษัทใดก็ลอกเลียนไม่ได้ แม้ว่าใครๆก็รู้ดีว่าสายการบินเซาท์เวสต์กำลังบริหารงานเช่นไรอยู่ก็ตาม ถ้าหากว่าคู่แข่งของคุณทราบถึงความลับของคุณดีแต่ก็ยังไม่สามารถลอกเลียนแบบได้อยู่ดี นั่นแหละที่เขาเรียกว่า ความได้เปรียบทางโครงสร้าง นั่นก็คือคูเมือง นั่นเอง

หากพิจารณาอย่างที่ผมเข้าใจ โดยข้อเท็จจริงแล้วเราสามารถแบ่งคูเมืองทางเศรษฐศาสตร์ที่ยากต่อการลอกเลียนแบบออกได้เป็น 4 แบบอย่างซึ่งสามารถคงทนยั่งยืนนาน แบบแรกได้แก่ เรื่องของเศรษฐศาสตร์ด้านขนาดและขอบเขตที่ใหญ่โต ตัวอย่างนี้ คือ วอลล์-มาร์ท เช่นเดียวกับ ซินตัส ซึ่งทำธรุกิจให้เช่าชุดแบบฟอร์ม หรือ พร็อคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล หรือ โฮมดีพ๊อด หรือ โลว์'ส อีกแบบ ก็คือ ผลจากการที่มีเครือข่ายโยงใยมาก เช่น อีเบย์ หรือ มาสเตอร์การ์ด หรือ วีซ่า หรือ อเมริกัน เอ๊กเพร็ส แบบที่สาม ก็ได้แก่ สิทธิทรัพย์สินทางปัญญา ได้แก่ สิทธิบัตร เครื่องหมายการค้า ความเห็นชอบยินยอมด้านกฎข้อบังคับ หรือ กู๊ดวิลล์ต่อลูกค้า ตัวอย่างที่ชัดเจน ได้แก่ ดิสนีย์ ไนกี้ เจนเน็นเทค แบบที่สี่และเป็นแบบสุดท้าย ก็คือ คูเมืองแบบว่าหากลูกค้าประสงค์จะยกเลิกเพื่อสลับเปลี่ยนไปใช้สินค้าหรือบริการของบริษัทอื่นจำเป็นต้องใช้ต้นทุนในการนี้ในระดับสูงมาก

ข้อได้เปรียบเพียง 4 ประการที่กล่าวมาเป็นสิ่งที่คงทนถาวรเพราะยากมากๆที่คู่แข่งจะลอกเลียนแบบเอาไปใช้ได้ และก็เช่นเดียวกับบริษัทใดบริษัทหนึ่งๆที่จำเป็นต้องพัฒนาคูเมืองขึ้นมาไม่เช่นนั้นแล้วกิจการก็ต้องเผชิญกับความยากลำบากอันเนื่องมาจากความธรรมดาสามัญนั่นเอง นักลงทุนก็เช่นกันจำเป็นต้องแสวงหาข้อได้เปรียบที่เหนือกว่าในสนามของการแข่งขันมาไว้กับตนเองมิเช่นนั้นเขาก็ต้องเผชิญกับความทุกข์ทางกายใจอันเกิดจากความธรรมดาสามัญของตนนั่นเอง

ในตลาดหุ้นแต่ละวันจะมีผู้เล่นอยู่หลายกลุ่มปะปนกันไป อันประกอบไปด้วย กองทุนประกันความเสี่ยง 8,000 กองทุน กองทุนรวม 10,000 กองทุน และผู้เล่นอิสระอีกนับล้านๆราย แล้วท่านจะสร้างข้อได้เปรียบให้เหนือกว่าคนทั้งหลายเหล่านี้ได้อย่างไร อะไรคือแหล่งของคูเมืองเหล่านั้น

ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่า การอ่านหนังสือและนิตยสารและหนังสือพิมพ์อย่างมากมายไม่อาจถือได้ว่าเป็นแหล่งก่อให้เกิดคูเมืองอันหนึ่งแต่อย่างใด ใครก็ทำได้ไอ้เรื่องของการอ่านหนังสือนี้นะ การอ่านมีความสำคัญอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่จะทำให้ท่านมีข้อได้เปรียบมากกว่าคนอื่นมากมายนัก มันเพียงแค่ทำให้ทันต่อเหตุการณ์แค่นั้นเอง ไม่ว่าใครๆในธุรกิจนี้ก็อ่านๆกันอย่างมโหฬารทั้งนั้นแหละ บางคนสามารถอ่านได้มากกว่าคนอื่น แต่ก็ไม่จำเป็นว่าเรื่องนี้จะทำให้ผมปักใจเชื่อว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่นระหว่างผลงานการลงทุนและจำนวนหนังสือที่อ่าน ถึงระดับหนึ่งเมื่อคุณสั่งสมสร้างฐานความรู้ของตนเองก็จะพบว่าผลตอบแทนที่ได้จากการอ่านมากๆจะเป็นไปในลักษณะถดถอยลงเรื่อยๆ และโดยความเป็นจริงแล้วการอ่านข่าวมากเกินไปก็สามารถก่อให้เกิดผลเสียต่อผลงานด้านการลงทุนได้ เพราะมันจะทำให้คุณเริ่มเชื่อในสิ่งที่ไม่ค่อยมีเหตุมีผลที่นักหนังสือพิมพ์ทั้งหลายบรรจงเขียนลงในหนังสือพิมพ์ด้วยจุดประสงค์หลักเพียงเพื่อจะดันยอดขายหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นๆให้สูงขึ้น

อีกประการหนึ่ง ไอ้การได้ปริญญา MBAจากโรงเรียนชั้นนำ หรือ CFA หรือ PhD หรือ CPA หรือ MS หรือปริญญาบัตรอื่นๆและคำต่อท้ายแสดงวุฒิการอบรมอื่นๆอีกหลายๆโหลที่คุณได้รับมาก็ไม่สามารถทำให้คุณเป็นนักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่ได้ มหาวิทยาลัยฮาเวิร์ดก็ไม่สามารถสอนคุณให้เป็นนักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่ได้หรอกหรือแม้แต่สถาบันที่ผมเป็นศิษย์เก่า คือ Northwestern University หรือ Chicago หรือ Wharton หรือ Standfordก็เช่นกัน ผมอยากจะบอกว่าการได้ปริญญา MBA เป็นหนทางที่ดีที่สุดที่จะทำให้คุณได้เรียนรู้ว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้คุณสามารถสร้างผลงานการลงทุนได้เท่ากับผลตอบแทนโดยรวมของตลาดหุ้นเป๊ะแค่นั้นเอง การได้ MBAสามารถช่วยลดความผิดพลาดในประวัติผลงานการลงทุนของคุณให้น้อยลงได้แบบหายห่วง ด้วยผลงานอย่างนี้ก็พอเพียงที่จะทำให้ได้รับเงินเดือนระดับสูงอยู่บ่อยๆแม้ว่าเรื่องนี้จะขัดแย้งกับหลักการที่นักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่ทำกัน คุณไม่อาจที่จะซื้อหรือเข้ารับศึกษาเพื่อให้ได้มาซึ่งการเป็นนักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่ได้ สิ่งต่างๆเหล่านี้ไม่ได้สร้างคูเมืองแก่คุณเลย ดีกรีหรือวุฒิบัตรต่างๆที่ว่ามาเหล่านี้เป็นแค่เพียงสิ่งที่จะชักนำหรือเชื้อเชิญให้เข้าร่วมเกมโปกเกอร์ง่ายขึ้นยิ่งกว่าปกติเท่านั้นเอง

ประสบการณ์ก็เป็นอีกข้อหนึ่งที่มักถูกให้ราคาสูงเกินจริง ผมหมายถึงว่า เจ้านี่ก็เป็นเรื่องสำคัญอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ก็ไม่ได้เป็นแหล่งกำเนิดข้อได้เปรียบทางการแข่งขันแต่อย่างใด มันเป็นเพียงแค่คุณสมบัติหนึ่งที่ต้องการสำหรับใช้ประกอบการพิจารณารับเข้าทำงานแค่นั้นเอง เมื่อถึงจุดหนึ่งแล้วคุณค่าของประสบการณ์ก็เข้าสู่จุดของการให้ผลตอบแทนแบบถดถอย (diminishing returns) หากว่าเรื่องที่กล่าวมานี้ไม่จริง ก็แสดงผู้จัดการด้านการลงทุนผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายจะต้องสร้างผลงานการลงทุนที่ดีสุดของพวกเขาในช่วงระหว่างปีทศวรรษที่ 60 และ 70 และ 80 และเราก็ทราบกันดีว่าพวกเขาทำไม่ได้จริงๆ การมีประสบการณ์ในระดับหนึ่งเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับการเข้าไปข้องเกี่ยวกับเกมการลงทุนเช่นนี้ แต่เมื่อถึงระดับหนึ่งประสบการณ์ก็ช่วยอะไรไม่ได้อีกต่อไปและไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ใดๆก็ตาม ประสบการณ์ไม่ได้เป็นแหล่งของคูเมืองทางเศรษฐศาสตร์สำหรับนักลงทุนแต่อย่างใด ชาร์ลี มังเกอร์พูดไว้เกี่ยวกับเรื่องว่านี้โดยสังเกตจากเมื่อตอนที่เขาพูดว่าคุณจะสามารถมองออกได้เลยว่าผู้ใดเป็นนักลงทุนแบบที่ว่า"ใช่เลย" และบางครั้งคนๆนั้นเกือบไม่เคยมีประสบการณ์ด้านการลงทุนมาก่อนเลย

แล้วอะไรล่ะที่เป็นแหล่งของข้อได้เปรียบด้านการแข่งขันสำหรับนักลงทุน ก็เหมือนอย่างกับบริษัทหรืออุตสาหกรรมนั่นแหละ คูเมืองของนักลงทุนก็คือเรื่องของโครงสร้าง สิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับจิตวิทยาและเป็นจิตวิทยาที่ได้ถูกร้อยเรียงผูกโยงถักสานในสมองของคุณไว้เรียบร้อยก่อนแล้ว มันเป็นส่วนประกอบอย่างหนึ่งในตัวคุณ คุณเองไม่สามารถทำอะไรได้มากนักในอันที่จะเปลี่ยนแปลงด้านจิตวิทยาในตัวคุณได้แม้นว่าคุณจะอ่านหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนมามากมายก่ายกองเพียงใดก็ตาม

เท่าที่ผมพอจะประมวลออกมาได้ พบว่าอย่างน้อยที่สุดนักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายจะต้องมีลักษณะนิสัยที่ติดตัวมาเหมือนๆกันอยู่ 7 อย่างซึ่งถือว่าเป็นแหล่งของข้อได้เปรียบที่แท้จริง ทั้งนี้เพราะลักษณะนิสัยเหล่านี้ไม่สามารถเรียนรู้เพื่อเอามาเป็นของตัวเองได้เมื่อผู้นั้นเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว โดยความเป็นจริงแล้วลักษณะนิสัยบางอย่างเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเรียนรู้เพื่อให้มันติดอยู่กับตัวได้เลยแม้แต่น้อย นั่นแสดงว่า คุณต้องเกิดมาพร้อมกับลักษณะนิสัยเหล่านั้น หรือมิเช่นนั้นก็แสดงว่าคุณไม่มีลักษณะนิสัยเหล่านี้ติดตัวมาเลยแม้แต่น้อย

ลักษณะนิสัย # 1 ก็คือ ความสามารถที่จะซื้อหุ้นต่างๆในขณะที่ผู้อื่นกำลังแตกตื่นอลหม่านหนีตาย และขายหุ้นต่างๆออกไปในขณะที่คนอื่นกำลังดื่มด่ำอยู่ในโลกของความสุขสดชื่นสมหวังตื่นตาตื่นใจ ไม่ว่าใครก็บอกว่าตัวเองทำได้แน่นอนกับเหตุการณ์อย่างนี้ แต่เมื่อวันที่ 19 เดือนตุลาคม ปี 1987 เข้ามาถึงและตลาดหุ้นล้มจมแบบถล่มทลาย กลับพบว่าเกือบไม่มีผู้ใดที่มีกะจิตกะใจและกึ๋นมากพอที่จะเข้าช้อนซื้อ เมื่อตอนที่ปี 1999 เข้ามาเยือนตลาดหุ้นมีราคาบวกเพิ่มขึ้นเกือบทุกวัน คุณก็ไม่สามารถชี้นำตัวคุณเองให้ขายหุ้นออกไปเพราะถ้าคุณทำเช่นนั้น คุณอาจได้กำไรน้อยหน้ากว่าเพื่อนคุณ ผู้คนที่ทำหน้าที่บริหารการลงทุนส่วนใหญ่มีปริญญา MBA และ ไอคิวสูง และอ่านหนังสือมามากมาย ช่วงท้ายๆของปี 1999 คนเหล่านี้ต่างทราบอย่างแน่ชัดว่าหุ้นต่างๆถูกปั่นราคาจนเกินความเป็นจริง และเขาเหล่านั้นก็ไม่สามารถทำใจแล้วตัดสินใจขายหุ้นเพื่อดึงเงินออกมาจากตลาดหุ้นได้ เพราะมันเป็นเรื่องของ "อาการของการทำตามๆของสถาบันการเงิน (institutional imperative)" ซึ่งเป็นคำที่บัฟเฟตต์บัญญัติไว้

ลักษณะนิสัย # 2 ลักษณะของนักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่อีกประการคือ ความเป็นผู้มีความอยากในระดับเกินปกติที่จะเข้าไปเล่นเกมและมีความต้องการที่จะเอาชนะเท่านั้น คนเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะมีความสุขอยู่กับการลงทุนเท่านั้น พวกเขาถือเอาการลงทุนคือชีวิตของตนเอง เมื่อตื่นขึ้นมาในตอนเช้าสิ่งแรกที่พวกเขาจะนึกถึงแม้จะยังอยู่ในอาการครึ่งหลับครึ่งตื่น ก็คือ หุ้นที่พวกเขากำลังค้นคว้าหาข้อมูลอยู่ หรือไม่ก็นึกถึงหุ้นที่พวกเขากำลังคิดจะขายออกไป หรือไม่ก็คิดว่าอะไรเป็นความเสี่ยงที่สุดกับพอร์ตโฟลิโอของเขาและจะสะกดความเสี่ยงนั้นให้อยู่หมัดได้อย่างไร พวกเขามักมีความยุ่งยากในเรื่องของความสัมพันธ์ส่วนตัว แม้ว่าโดยความเป็นจริงแล้วพวกเขาก็อาจชื่นชอบการพบปะกับผู้คนแต่พวกเขาไม่เคยแบ่งให้เวลาให้แก่ผู้คนเหล่านั้นอยู่เนืองๆ ในสมองของพวกเขาดาดดื่นไปด้วยเมฆหมอกที่อยู่บนฟ้าและนึกคิดฝันถึงแต่หุ้นต่างๆ นับว่าเป็นโชคที่ไม่ดีที่คุณไม่สามารถที่จะมีความอยากในระดับเกินปกติกับบางสิ่งบางอย่าง เป็นไปได้ที่คุณมีอยู่ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง คือ มีนิสัยอย่างนั้น หรือ ไม่มีเอาเสียเลย และหากคุณไม่มีลักษณะเช่นนี้เท่ากับว่าคุณก็ไม่อาจที่จะเป็น บรู๊ซ เบอร์โกวิซท์ คนต่อไปได้

ลักษณะนิสัย # 3 คือ มีความปราถนาอย่างแรงกล้าที่จะเรียนรู้ข้อผิดพลาดต่างๆในอดีต เป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับคนทั่วไปและถือได้ว่าเป็นตัวจำแนกแยกแยะนักลงทุนบางกลุ่มออกมาต่างหากนั่นก็คือความประสงค์อย่างแรงกล้าที่จะเรียนรู้ความผิดพลาดต่างๆของตัวเองเพื่อว่าเขาเหล่านี้จะได้หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดเดิมนั้ซ้ำอีก คนส่วนใหญ่มักจะเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆและละเลยต่อเรื่องโง่ๆที่พวกเขาได้เคยทำไว้ ผมเชื่อว่าคำที่เหมาะสมสำหรับอาการนี้ก็คือ ความเก็บกด (repression) แต่ถ้าคุณละเลยข้อผิดพลาดต่างๆโดยปราศจากการประเมินวิเคราะห์ข้อผิดพลาดนั้นๆอย่างจริงจัง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคุณจะต้องทำข้อผิดพลาดอย่างเก่านี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกในอาชีพของคุณในอนาคตข้างหน้า ตามความเป็นจริงแล้ว แม้คุณจะมีการวิเคราะห์ประเมินข้อผิดพลาดเหล่านั้นมาแล้วก็ตามก็ยังถือว่าเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะไม่ทำให้เกิดข้อผิดพลาดต่างๆเหล่านี้ซ้ำได้อีก

ลักษณะนิสัย # 4 คือ ความสำนึกที่ติดตัวมาในเรื่องของความเสี่ยงโดยอาศัยสามัญสำนึกเป็นหลัก ผู้คนส่วนใหญ่ทราบดีเกี่ยวกับเรื่องของ Long Term Capital Management ซึ่งเป็นกองทุนที่มีทีมผู้บริหารมีดีกรีระดับ PhDจำนวนมากถึง 60 หรือ 70 คน หากย้อนหลังกลับไปดูอดีต ก็พบว่าแม้จะได้มีการใช้โมเดลสำหรับบริหารความเสี่ยงชนิดสลับซับซ้อนก็ตามแต่ก็ยังไม่สามารถหยั่งรู้ถึงสิ่งที่สามารถมองเห็นจะๆอย่างชัดเเจนได้ พวกเขาได้ลงทุนโดยอาศัยการกู้ยืมในอัตราที่สูงผิดปกติมาก พวกเขาไม่เคยก้าวถอยหลังออกมาแล้วพูดกับพวกตัวเขาเองว่า "นี่ แม้ว่าคอมพิวเตอร์จะบอกว่าที่ทำไปนั้นใช้ได้ไม่มีปัญหา แล้วในความเป็นจริงล่ะมันดูเข้าท่าหรือเปล่า" ความสามารถของคอมพิวเตอร์ในการที่จะทำได้อย่างคนเป็นๆทั่วๆไปทำกันอยู่เยอะแยะจึงมีให้เห็นไม่มากอย่างที่คุณคิด ผมเชื่อว่าสามัญสำนึกเป็นเครื่องมือควบคุมความเสี่ยงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แต่ผู้คนก็ตกอยู่ในภาวะนิสัยของการนอนหลับอย่างสบายในตอนกลางคืนเพียงเพราะคอมพิวเตอร์บอกว่าพวกเขาควรจะสบายใจได้ พวกเขาละเลยสามัญสำนึก ซึ่งถือเป็นข้อผิดพลาดที่ผมเห็นเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกในโลกของการลงทุน

ลักษณะนิสัย #5 นักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่มีความมั่นใจในสิ่งต่างๆที่ตนเชื่อมั่นและจะไม่ยอมละจากความเชื่อเหล่านั้น แม้จะต้องเผชิญกับการถูกตำหนิติเตียน บัฟเฟตต์ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับธรุกิจดอท-คอมที่ผู้คนกำลังคลั่ง จนเขาเองถึงกับถูกตำหนิติเตียนในที่สาธารณะเพราะละเลยหุ้นที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี่ เขายังคงยึดมั่นในหลักการของเขาในขณะที่คนอื่นๆละทิ้งแนวการลงทุนแบบประเมินมูลค่า (Value Investing) และนิตยสาร Barron's ถึงกับลงรูปของเขาขึ้นปกพร้อมประโยคพาดหัวว่า "มีอะไรไม่ปกติหรือเปล่าหะ วอร์เร็น?" แน่นอนว่า สำหรับเขาแล้วมันยอดเยี่ยมอย่างที่สุดและก็เลยทำให้นิตยสาร Barron's ดูจะกลายไปเป็นเครื่องบ่งชี้ไปคนละทางกับเขาที่สมบูรณ์แบบทีเดียว โดยส่วนตัวแล้ว ผมรู้สึกฉงนต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนส่วนใหญ่ที่มีอยู่น้อยนิดต่อหุ้นที่พวกเขาซื้อเข้าพอร์ต แทนที่จะลงมือซื้อหุ้นไว้สัก 20% ของพอร์ตตามที่ผลจากสูตรเคลลี่(Kelly Formula)อาจแนะนำไว้ คนเหล่านี้จะซื้อไว้แค่ 2% ซึ่งก็เท่ากับเป็นการเสี่ยงดวงกับหุ้นที่มีโอกาสราคาเพิ่มสูงขึ้น 51% และมีโอกาสราคาลดต่ำลง 49% ทำไมคุณจะต้องมาเสียเวลากับแค่เสี่ยงดวงกับหุ้นที่มีโอกาสราคาเพิ่มขึ้น 51% คนเหล่านี้ได้รับเงินเดือน 1 ล้านเหรียญปีเพื่อเสาะค้นหาให้ได้ว่าหุ้นตัวไหนที่มีโอกาสราคาเพิ่มขึ้น 51% มันเป็นเรื่องน่าโง่เขลาจริงๆ

ลักษณะนิสัย #6 เป็นเรื่องสำคัญมากที่คุณต้องใช้สมองทั้งสองซีกของคุณ ไม่ใช่ว่าใช้แค่เพียงสมองซีกซ้าย(เป็นข้างที่ใช้งานได้ดีในเรื่องทางคณิตศาสตร์และการจัดระบบระเบียบ) ผมเคยพบผู้คนมากมายในโรงเรียนสอนด้านธุรกิจผู้มีความเฉลี่ยวฉลาดอย่างไม่น่าเชื่อ แต่พวกที่เรียนวิชาเอกด้านการเงินไม่สามารถเขียนสื่อสารอะไรที่มีคุณภาพดีไปกว่าคำว่าความห่วย และมักเกิดความยุ่งยากเมื่อต้องให้หาหนทางที่สร้างสรรเพื่อเอามาใช้ประเมินปัญหาที่เกิดขึ้น เรื่องนี้ทำให้ผมก็รู้สึกตกอกตกใจอยู่นิดๆ ต่อมาภายหลังผมถึงทราบว่าผู้คนที่เฉลี่ยวฉลาดจริงๆเหล่านี้บางคนใช้งานสมองด้านซีกซ้ายแต่ข้างเพียงเดียวเท่านั้น และนั่นก็ถือว่าใช้ได้ดีในระดับหนึ่งกับการอยู่ในโลกใบนี้แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้กลายเป็นนักลงทุนแบบผู้ประกอบการซึ่งต้องเป็นผู้ที่คิดแตกต่างไปจากฝูงคนทั้งหลายทั่วๆไป ในทางตรงกันข้าม ถ้าคุณเน้นใช้สมองซีกขวาแต่เพียงโดดๆ คุณน่าจะเป็นคนหลบเลี่ยงหลีกหนีวิชาคณิตศาสตร์ และมักไม่ค่อยพบเห็นบ่อยนักที่คนกลุ่มนี้ที่จะเลือกเข้ามาเรียนรู้โลกของวิชาการเงิน พวกนักการเงินมักจะเป็นพวกที่นิยมใช้สมองซีกซ้ายและผมคิดว่ามันเป็นปัญหา ผมเชื่อว่านักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่จำเป็นต้องเปิดสวิทช์ให้สมองของตนเองใช้งานทั้งสองซีก การเป็นนักลงทุนคุณจำเป็นต้องคิดคำนวณตัวเลขต่างๆและการตั้งสมมุติฐานการลงทุนอย่างมีตรรกะ การคิดแบบนี้จะทำให้สมองซีกซ้ายของคุณทำงาน แต่เท่านั้นยังไม่พอคุณต้องสามารถที่จะทำสิ่งอื่นๆได้ด้วยเช่นกัน ได้แก่ การพิจารณาตัดสินทีมงานบริหารจากสัญญานต่างๆที่แสดงออกมาซึ่งแถบจะเกือบมองไม่เห็นเลย (เช่น คำพูด ท่าทาง) ในสถานะการณ์บางอย่างคุณต้องสามารถที่จะก้าวถอยหลังออกมาและมองภาพรวมทั้งหมดแทนที่จะเอาเป็นเอาตายอยู่แค่กับการวิเคราะห์เจาะลึก คุณต้องมีอารมณ์ขันและความอ่อนน้อมถ่อมตัวและความมีสามัญสำนึก และที่สำคัญที่สุด คุณต้องเป็นนักเขียนที่ดี ลองดูที่ตัวบัฟเฟตต์ เขาเป็นหนึ่งในนักเขียนที่ดีที่สุดของโลกที่เคยมีมา และก็ไม่ได้เป็นสิ่งบังเอิญของการมาประจวบเหมาะกันว่าเขาก็ยังเป็นนักลงทุนที่ยอดเยี่ยมที่สุดคนหนึ่งตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาและในอนาคตต่อๆไป ถ้าหากคุณไม่สามารถเขียนสื่อสารได้อย่างแจ่มแจ้งชัดเจน ผมเองเห็นว่าคุณยังคิดได้ไม่ทะลุปรุโปร่งแจ่มแจ้งมากนัก และถ้าคุณไม่สามารถคิดได้จนกระทั่งทะลุปรุโปร่งแจ่มแจ้งคุณก็ต้องมีปัญหาแน่ มีผู้คนที่มีไอคิวระดับอัจฉริยะมากมายที่ไม่สามารถคิดได้อย่างทะลุปรุโปร่งแม้ว่าเขาเหล่านี้จะสามารถหามูลค่าตั้งราคาพันธบัตรหรืออ๊อฟชั่นจากสมองของเขาเองโดยไม่อาศัยอุปกรณ์อย่างอื่นก็ตาม

และข้อสุดท้ายที่สำคัญที่สุดและถือเป็นลักษณะนิสัยที่หาได้ยากสุดๆในบรรดาที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมด นั่นคือ ความสามารถที่จะยืนหยัดอยู่กับกระบวนการวิธีคิดสำหรับการลงทุนของตนเองแม้ต้องเผชิญกับความผันผวนวูบวาบหวือหวาของตลาดหุ้นก็ตาม เกือบเป็นไปไม่ได้เลยที่คนทั่วไปจะทำอย่างนี้ได้ เมื่อราคาหุ้นตกต่ำลดลงมา พวกเขาก็จะมีปัญหากับเรื่องของการที่ต้องอดทนต่อภาวะย่ำแย่ด้วยการยืนหยัดไม่ยอมขายหุ้นของตนเองออกไป ณ ที่ราคาขาดทุน ผู้คนทั่วไปไม่ชอบความเจ็บปวดรวดร้าวที่เกิดขึ้นแค่ช่วงเวลาสั้นๆแม้นว่าถ้ารอต่อไปในระยะยาวๆจะได้รับผลลัพธ์ที่ดีกว่าก็ตาม มีนักลงทุนอยู่เพียงน้อยนิดไม่กี่คนที่สามารถจัดการกับความผันผวนซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นต่อการสร้างผลตอบแทนให้ได้อัตราสูงแก่พอร์ตโฟลิโอ พวกผู้คนทั่วไปเขามองว่าความผันผวนในระยะเวลาสั้นๆเป็นความเสี่ยง ความเห็นอย่างนี้ไม่เข้าท่าเลย เพราะความเสี่ยงหมายความว่าถ้าหุ้นที่คุณเสี่ยงวัดดวงลงทุนไปเป็นหุ้นที่คุณวิเคราะห์พลาดพลั้งไม่ถูกต้องคุณก็ต้องขาดทุน การเหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลงของราคาหุ้นแค่ช่วงเวลาไม่นานนักไม่ได้เป็นการขาดทุน ฉะนั้นจึงไม่ถือว่าเป็นความเสี่ยง เว้นเสียแต่ว่าคุณจะหวั่นไหวโอนเอียงไปกับความตื่นตระหนกหวาดกลัวเมื่อราคาหุ้นดิ่งลงสู่ก้นเหวและตัดใจลงมือขายขาดทุนออกไป แต่ผู้คนส่วนใหญ่มักไม่สามารถที่จะมองเห็นอย่างที่อธิบายมานี้ สมองของคนเหล่านี้จะไม่ยอมให้เขามองเห็นอย่างนั้น สัญชาตญานแห่งความตื่นตระหนกหวาดกลัวของคนเหล่านี้จะเข้าครอบงำและปิดกั้นสมองไม่ให้ทำงานอย่างที่เคยทำตามปกติแต่เดิมได้

ผมขอโต้แย้งเลยว่าเมื่อผู้ใดมีอายุล่วงเข้าสู่วัยเป็นผู้ใหญ่แล้วเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะสามารถเรียนรู้เพื่อนำเอาลักษณะนิสัยเหล่านี้มาเก็บไว้กับตนเอง เพราะศักยะภาพในการที่จะเป็นนักลงทุนผู้โดดเด่นในช่วงชีวิตที่เหลือของคุณได้รับการตัดสินประเมินผลไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อตอนที่คุณล่วงเข้าสู่วัยเป็นผู้ใหญ่ เป็นไปได้ที่จะขัดเกลาให้ลักษณะนิสัยนี้ปรากฏเด่นขึ้นมาได้ แต่ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะสามารถพัฒนาขึ้นมาจากจุดศูนย์เพราะโดยส่วนใหญ่แล้วต้องขึ้นอยู่กับว่าสมองของคุณได้รับการร้อยเรียงผูกโยงถักสานอย่างแน่นหนาและประสบการณ์ต่างๆที่เคยประสบมาครั้งในวัยเด็ก นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าการศึกษาเรียนรู้ด้านการเงินและการอ่านและประสบการณ์ในการลงทุนไม่มีความสำคัญแต่อย่างใด สิ่งเหล่านั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดก็แค่เพียงใช้เป็นใบเบิกทางเข้าไปเล่นเกมและเล่นต่อไปเรื่อยๆ แต่สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ใครก็สามารถลอกเลียนแบบเอาไปใช้ได้ แต่ลักษณะนิสัยเจ็ดอย่างที่กล่าวมาข้างต้นเป็นสิ่งที่ลอกเลียนไม่ได้

โอเค ผมทราบดีว่าข้อมูลที่พูดมาเยอะมากและผมต้องการให้มีเวลาสำหรับคำถาม ฉะนั้นผมจะขอจบไว้แค่นี้
สงวนลิขสิทธิ์, มาร์ค เซลเลอร์ส, 2007